วันอังคารที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ประโยชน์ของแครอท กับคุณผู้หญิง

1. สุขภาพผมแข็งแรงเงางาม

ในแครอทมีวิตามินเอ และเบต้าแคโรทีนที่ช่วยบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะให้แข็งแรง อีกทั้งยังมีวิตามินซีช่วยทำให้ผมที่ขาดน้ำหนักกลับมานุ่มสลวยขึ้น

2. บำรุงผิวพรรณให้ดูเปล่งปลั่งและอ่อนเยาว์

หากคุณผู้หญิงไม่อยากแก่ก่อนวัย และดูเด็กกว่าวัย ควรรับประทานแครอท เพราะในแครอทจะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ยิ่งกินจะยิ่งดูเด็ก ลองดูได้เลย

3. ป้องกันการเกิดสิว

ในแครอท นอกจากจะทำให้ผิวสวยแล้วยังช่วยปรับค่าพีเอชของผิว ให้เกิดความสมดุลอีกด้วย จึงลดการเกิดสิวได้เป็นอย่างดี และหากไม่อยากให้เกิดสิวก็ควรดื่มน้ำแครอทผสมน้ำผึ้งก็จะยับยั้งไม่ให้เกิดสิวได้

4. ช่วยบำรุงสุขภาพดวงตา

หากคุณผู้หญิงต้องการมีดวงตาคู่สวยอยู่ไปนาน ๆ แครอทสามารถช่วยได้เป็นอย่างดี เพราะแครอทมากด้วยวิตามินเอ และเบต้าแคโรทีน จึงป้องกันไม่ให้ดวงตาเสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควร


5. ชะลอการเสื่อมสภาพของเซลล์

หากคุณสาวๆท่านไหนไม่อยากให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายเสื่อมสภาพอันเกิดจากอนุมูลอิสระที่เข้าไปทำลายเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย ก็ควรรับประทานแครอทเพราะสารต้านอนุมูลอิสระในแครอทจะคอยปกป้องไม่ให้เซลล์ถูกทำลายได้ อีกทั้งยังช่วยให้ร่างกายแข็งแรงอีกด้วย

6. บำรุงสุขภาพผู้หญิงตั้งครรภ์

ผู้หญิงตั้งครรภ์ไม่ควรมองข้ามแครอทเป็นอย่างยิ่ง เพราะแครอทสามารถช่วยบำรุงสุขภาพได้ดีทั้งคุณแม่และเด็กในครรภ์ เด็กจะเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์แข็งแรง อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงของความผิดปกติที่จะเกิดกับทารกได้อีกด้วย ส่วนตัวคุณแม่ก็จะมีสุขภาพแข็งแรง ลดความเสี่ยงการเกิดโรคโลหิตจาง และยังกระตุ้นให้มีน้ำนมเพียงพอสำหรับลูกอีกด้วย นอกจากนี้ยังเป็นอาหารควบคุมน้ำหนักให้คุณแม่ในช่วงตั้งครรภ์อีกด้วย

7. ป้องกันผิวจากรังสียูวี

รังสียูวีนับว่าเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้ผิวเสีย อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งผิวหนังเพิ่มขึ้นอีกด้วย การรับประทานแครอทจะสามารถป้องกันผิวพรรณของคุณผู้หญิงจากรังสียูวีได้ อีกทั้งยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นเหมือนสารกันแดดจากธรรมชาติช่วยปกป้องผิวได้อีกด้วย

8. ลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม

โรคมะเร็งเกิดได้จากอนุมูลอิสระที่มาจากอาหาร และมลพิษที่อยู่รอบตัว ที่เข้าสู่ร่างกายแล้วก็จะทำลายเซลล์และแปรสภาพให้เซลล์เนั้นกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ แต่หากรับประทานแครอทอยู่เป็นประจำร่างกายจะได้รับสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งต่างๆรวมถึงมะเร็งเต้านม และยังช่วยต่อสู้กับเซลล์มะเร็งที่เข้าสู่ร่างกายแล้วด้วย

9. กระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร

หากคุณผู้หญิงต้องการมีรูปร่างและหุ่นที่ดี ฟิตแอนด์เฟิร์ม ก็อย่าลืมรับประทานแครอทเป็นประจำ เพราะแครอทจะเข้าไปช่วยการทำงานของระบบย่อยอาหาร และช่วยให้ร่างกายสามารถเผาผลาญพลังงานได้เป็นอย่างดี

10. ลดอาการข้างเคียงจากการมีประจำเดือน

ในแครอทมีธาตุเหล็กและสารอาหารมากมาย เช่น วิตามินเอและเบต้าแคโรทีน ซึ่งผู้หญิงส่วนใหญ่จะสูญเสียธาตุเหล็กไปมากกว่าปกติในช่วงมีประจำเดือน ส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลีย ผมร่วง ขาดสมาธิและเป็นโรคโลหิตจางได้ อีกทั้งวิตามินเอและเบต้าแคโรทีนยังช่วยเรื่องการไหลเวียนของเลือดและควบคุมให้ประจำเดือนมาอย่างเป็นปกติ

แครอทมีแต่ประโยชน์มากมายโดยเฉพาะกับคุณผู้หญิง หากเป็นแบบนี้รีบหามารับประทานจะดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นแบบรับประทานสด ปรุงอาหารหรือคั้นเป็นน้ำดื่มก็ล้วนมีประโยชน์ทั้งสิ้น

วันจันทร์ที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

งาดำ ประโยชน์มากมาย

ประโยชน์ของงาดำ ทำได้มากกว่าให้ความหอม อร่อย

1. ประโยชน์ของงาดำช่วยป้องกันโรคหลอดเลือดแข็งตัว งาดำเป็นพืชอีกชนิดหนึ่งที่มีปริมาณโอเมกา 3 อยู่เป็นจำนวนมาก โดยโอเมกา 3 จะไปช่วยลดคอเลตเตอรอลในเลือด ป้องกันการแข็งตัวและการจับตัวกันของเลือด นอกจากนั้นยังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หลอดเลือดขยายตัว ทำให้เลือดหมุนเวียนสะดวก ป้องกันโรคเกี่ยวกับหลอดเลือด ผนังเลือดและโรคหัวใจได้ดี
2. ประโยชน์ของงาดำเสริมสร้างพัฒนาการของทารกในครรภ์ งาดำถือเป็นอาหารบำรุงครรภ์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ส่วนใหญ่จะผสมในนมที่คุณแม่ตั้งครรภ์มักจะดื่มเพื่อเป็นอาหารเสริมให้แก่ทารก โดยสารอาหารในงาดำจะเป็นตัวเพิ่ม DHA ซึ่งมีความสำคัญต่อระบบประสาทและสมองของทารก โดยสารดังกล่าวจะได้จากการรับประทานอาหารเท่านั้น ดังนั้นวิธีนี้จึงเป็นการเพิ่มสารอาหารจากแม่สู่ลูกผ่านทางการรับประทานอาหารนั่นเอง นอกจากนี้การบริโภคงาดำยังช่วยบำรุงสายตาให้กับคุณแม่ไปในตัวอีกด้วย เรียกได้ว่าได้ประโยชน์ถึงสองต่อ 



3. ประโยชน์ของงาดำเพิ่มความอ่อนเยาว์ให้กับผิวพรรณ งาดำช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้ผิวพรรณ ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว อีกทั้งยังช่วยเพิ่มคอลาเจนให้กับผิว ทำให้ผิวสดใสขึ้นและลดริ้วรอยในหญิงวัย 30 ปีขึ้นไป โดยนอกจากจะเพิ่มคอลาเจนแล้วในงาดำยังมีสารต้านอนุมูลอิสระมากมายทั้งวิตามินเอ วิตามินบีและวิตามินซี ที่เป็นส่วนประกอบของชั้นผิวหนังแท้ และวิตามินอีที่ช่วยซ่อมแซมผิวจากภายในอีกด้วย
4. ประโยชน์ของงาดำ ป้องกันโรคกระดูกพรุน การรับประทานงาดำเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยซ่อมแซมและเสริมสร้างกระดูกและฟัน เนื่องจากในงาดำอุดมไปด้วยแคลเซียมและฟอสฟอรัส ป้องกันการแตกหรือเปราะของกระดูกในวัยสูงอายุและช่วยให้ฟันของเด็กๆแข็งแรง นอกจากนี้ ‘งาดำ’ โดยการรับประทานงาดำนี้ยังส่งผลดีต่อส่วนอื่นในร่างกายไม่ว่าจะเป็นเล็บ เส้นผมหรือเซลล์ผิวหนัง อีกทั้งยังสามารถรับประทานได้โดยไม่ต้องกลัวอ้วนเพราะไม่มีไขมันอีกด้วย
5. ประโยชน์ของงาดำมีฤทธิ์ต้านมะเร็งบางชนิด  ‘สารเซซามิน’ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่อยู่ในงาดำ โดยสารชนิดนี้เป็นสารชีวโมเลกุลที่ป้องกันตัวเองของงาดำจากศัตรูพืช จึงถือได้ว่าเป็นสารที่สามารถนำมาช่วยในการยับยั้งหรือต่อต้านอนุมูลอิสระในร่างกายได้ ทำให้ลดอัตราเสี่ยงของการเกิดมะเร็ง ป้องกันโรคแทรกซ้อนต่างๆ และยับยั้งการเสื่อมของอวัยวะทั้งภายในและภายนอกร่างกาย

6. ประโยชน์ของงาดำช่วยลดความเครียด สารแอนตี้ออกซิแดนท์และวิตามินต่างๆ ในงาดำ จะช่วยลดความเครียดระดับเซลล์ในเนื้อเยื่อส่วนต่างๆของร่างกายได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้อย่างเป็นปกติ โดยเฉพาะความตึงเครียดในสมอง การดื่มงาดำก่อนนอนจึงเปรียบเสมือนการรับประทานยาลดความเครียดที่ไม่ส่งผลเสียต่อร่างกายนั่นเอง
7. ประโยชน์ของงาดำช่วยเผาผลาญไขมัน หนึ่งในวิธีการลดความอ้วนด้วยธรรมชาติคือการรับประทานอาหารที่มีส่วนช่วยในการเผาผลาญและสลายไขมัน โดยสารอาหารในงาดำจะช่วยในการแตกตัวของไขมันและทำให้ไขมันในร่างกายถูกย่อยสลายได้อย่างรวดเร็ว จึงไม่มีการสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ยิ่งรับประทานงาดำควบคู่กับการออกกำลังกายด้วยแล้ว ยิ่งทำให้รูปร่างดีอย่างรวดเร็ว


ผักกาดหอม สรรพคุณและคุณประโยชน์

ผักกาดหอม สรรพคุณและคุณประโยชน์



สรรพคุณและประโยชน์ของผักกาดหอม 

  1. เมล็ด สรรพคุณช่วยขับน้ำนมของสตรีหลังคลอดบุตร
  2. น้ำคั้นจากใบใช้เป็นยาแก้ไอได้เป็นอย่างดี
  3. เมล็ดตากแห้งประมาณ 5 กรัม นำมาชงกับน้ำร้อน 1 ถ้วยกาแฟ ใช้ดื่มก่อนอาหารเช้าและเย็น ถ้าหากใช้ต้นให้ใช้เพียงครึ่งต้นทานเพื่อช่วยขับเสมหะและแก้อาการไอ และไม่ควรใช้มากเกินไป (เมล็ด,ต้น)
  4. สรรพคุณ ช่วยขับเหงื่อ (น้ำคั้นจากใบ)
  5. ช่วยแก้อาการกระหายน้ำ (น้ำคั้นจากทั้งต้น)


ประโยชน์จากการกินผักกาดหอมก็คือ ช่วยให้นอนหลับง่าย ขับปัสสาวะ ล้างพิษ ขับเหงื่อ และแก้ไข้ และในผักกาดหอมหนัก 100 กรัม จะมีฟอสฟอรัส 39 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 4.9 มิลลิกรัม วิตามินซี 24 มิลลิกรัม รวมถึงมีเบตาแคโรทีนและวิตามินเอสูง ช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับดวงตาได้เป็นอย่างดี

วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2561

ลดรอยสิวด้วย มะละกอ

มะละกอ

สรรพคุณ มีเอนไซม์ปาเปน แคโรทีน วิตามินซี ที่อุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในเรื่องการผลัดเซลล์ผิวได้ดี โดยเฉพาะรอยดำจากสิว รอยฝ้า รอยกระ สามารถลดเลือนลงได้ แถมยังช่วยให้ผิวหน้านุ่มนิ่ม น่าสัมผัส นอกจากนี้ยังสามารถช่วยลดการอักเสบและกระตุ้นการสมานแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวกได้ 


นำมะละกอสุกบด 1/3 ลูก + น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา + น้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน ล้างหน้าให้สะอาด นำมาพอกหน้า 20 นาที ล้างออกให้สะอาด
        
ควรทำสัปดาห์ละ 3 ครั้ง ทำต่อเนื่องกันหลายเดือน เพื่อเห็นผลลัพธ์ที่แตกต่าง


ลดรอยสิวด้วย ใบบัวบก

ใบบัวบก

สรรพคุณ มีส่วนช่วยในการสร้างเซลล์ใหม่ให้แข็งแรงขึ้น พร้อมทั้งช่วยในเรื่องระบบไหลเวียนเลือด จึงช่วยฟื้นฟูเซลล์ผิวเสื่อมสภาพ ทำให้ปัญหาผิวหมองคล้ำที่เป็นรอยฝ้า กระ จุดด่างต่างๆลดเลือนลง 


นำใบบัวบก 1 กำมือ + น้ำอุ่นหรือน้ำสะอาด 1 ถ้วย ปั่นให้เข้ากัน กรองน้ำ ใช้สำลีเช็ดหน้าให้ทั่ว ทิ้งไว้ 15-20 นาที หรือพอกจนแห้ง ล้างออกให้สะอาด
       
ทำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หรือทำทุกวันที่ต้องการ เท่านี้ก็จะช่วยลดรอยฝ้าได้ดี


ลดรอยสิวด้วย หัวไชเท้า

หัวไชเท้า

มีส่วนประกอบของสารไกลโคไซ ที่อุดมไปด้วยวิตามินเอ ช่วยในเรื่องลดรอยดำอย่างฝ้า กระ จุดด่างดำได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยลดอาการอักเสบ จากสิว ทำให้สิวยุบ และแห้งตัวไวขึ้น พร้อมกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิว ช่วยชำระล้างไขมันภายในรูขุมขน ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัย ให้ผิวหน้าแลดูอ่อนเยาว์ ผิวหน้าแข็งแรงขึ้น


นำน้ำหัวไชเท้าแช่เย็น 3 ช้อนโต๊ะ + ดินสองพอง 1 เม็ด + น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา ผสมเป็นเนื้อครีม พอกหน้า 15-20 นาที ล้างออกให้สะอาด
       หัวไชเท้าสดมีฤทธิ์แสบร้อน หากนำหัวไชเท้ามาพอกสดๆอาจไม่เหมาะกับผิวบอบบาง ผิวแพ้ง่ายแน่นอน แต่สำหรับใครที่ใช้ได้ก็จะเห็นผลชัดเจนเลยว่ารอยฝ้าจางลงได้จริง


ลดรอยสิวด้วยว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้

ว่านหางจระเข้ มีสรรพคุณ ช่วยลดน้ำหนัก ต้านการอักเสบของผิว ลดอาการแสบร้อนจากแสงแดด แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ช่วยให้ผิวพรรณกระจ่างใส ชุ่มชื่น ขจัดสิว และมีส่วนช่วยลดการเกิดเม็ดสีผิวเมลานิน จึงลบรอยดำจากฝ้า กระ จุดด่างดำจากสิวได้ดี


นำวุ้นว่านหางจระเข้ปั่น 2-3 ช้อนโต๊ะ + น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ ล้างหน้าให้สะอาด พอกหน้า 20 นาที ล้างหน้าให้สะอาด
       ทำสูตรนี้ทุกวัน เช้า-เย็น จะสังเกตุได้เลยว่ารอยดำฝ้า กระ จุดด่างดำ ค่อยๆจางลง

วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

อาหารทำลายผิว อยากผิวสวยควรเลี่ยงนะคะ

อาหารที่ทำลายผิวพรรณ

1. ไขมันอิ่มตัวในเบคอน ไส้กรอก ไอศกรีม และเนยสด กระบวนการเผาผลาญอาหารเหล่านี้ จะเกิดอนุมูลสารอิสระสูง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เซลล์ของร่างกายเหี่ยวย่น และเสื่อมโทรม

2. รับประทานอาหารที่มีน้ำตาลมากเกินไป มีผลขัดขวางกระบวนการสร้างคอลลาเจนของเซลล์ผิว ทำให้ผิวหย่อนยาน


3. คาเฟอีน เป็นตัวที่ดูดซับความชื้นจากผิว ถ้าคุณติดกาแฟจนยากที่จะเลิก เมื่อคุณดื่มกาแฟ 1 แก้ว ก็ควรดื่มน้ำเปล่าแก้วโต ๆ ตามไป 1 แก้วเช่นกัน เพื่อป้องกันไม่ร่างกายขาดน้ำ และผิวพรรณขาดความชุ่มชื้นไปด้วย

4. แอลกฮอล์ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผิวพรรณ ขาดความเปล่งปลั่ง ถ้าคุณเป็นนักดื่ม ทุกครั้งที่ดื่มแอลกฮอล์ อย่าลืมดื่มน้ำเปล่าแก้วโต 2 แก้ว เพื่อชดเชยไม่ให้ร่างกายสูญเสียน้ำ และช่วยป้องกันไมให้ผิวขาดความชุ่มชื้น

วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

วิธีรักษาไมเกรน โดยไม่ต้องใช้ยา

ยอมรับว่าพวกเราหลายคนมีพฤติกรรมแย่ๆ ในการใช้ชีวิตที่หลีกเลี่ยงได้ยาก ไม่ว่าจะเป็นการทำงานที่เร่งรีบอยู่ตลอดเวลา นั่งจมอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ติดต่อกันนานกว่า 3 ชั่วโมง พักผ่อนไม่เพียงพอ รับประทานอาหารคุณภาพต่ำเพื่อให้หายหิว หรือรับประทานอย่างรวดเร็ว ไม่ออกกำลังกาย มีภาวะความเครียดสะสมต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นที่มาของโรคทั้งสิ้น

ยิ่งใครที่ต้องใช้สายตาเพ่งมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งติดต่อกันครั้งละนานๆ มักจะมีอาการมึนศีรษะ ปวดศีรษะ ปวดคอ ปวดบ่า ปวดสะบัก ปวดหลัง อาการเหล่านี้จะรบกวนวิถีชีวิตประจำวันอยู่เรื่อยๆ แม้จะหยุดใช้สายตาเพ่งมองไปทางอื่นแล้วก็ตาม ถ้าอาการดังกล่าวสามารถหายไปได้เองภายใน 2-3 วัน เมื่อได้พักผ่อน ทายา หรือรับประทานยา ก็โชคดีไป แต่ถ้าไม่ ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจปล่อยเอาไว้

แพทย์อายุรเวท วิภาพร สายศรี แพทย์ประจำคลินิกรักษาไมเกรนและโรคปวด ดอกเตอร์แคร์คลินิก ได้ให้คำแนะนำไว้ว่า อาการปวดศีรษะเป็นโรคยอดนิยมของคนทั่วไปในยุคนี้ เมื่อใครปวดศีรษะขึ้นมาก็จะคิดถึงยาสามัญประจำบ้านอย่างยาแก้ปวดเป็นอันดับ แรก แต่ถ้ากินยาแล้วยังไม่หาย ตรวจร่างกายแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติอย่างนี้ถือว่าเข้าข่ายเป็นโรค ‘ไมเกรน' ค่ะ
โรคไมเกรนเป็นโรคที่สร้างความทรมานให้กับผู้ป่วย พบได้มากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั่วโลก และยังไม่มีวิธีการรักษาใดๆ ช่วยให้หายขาดได้ เป็นแต่เพียงแค่การรักษาเพื่อบรรเทาอาการปวดศีรษะให้ทุเลาลงเท่านั้น อาการของไมเกรนก็คือ ปวดศีรษะข้างเดียว ซึ่งเกิดจากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อบริเวณบ่า คอ ท้ายทอย และเกิดก้อนเนื้ออักเสบที่เรียกว่า Trigger Point บริเวณดังกล่าว มีผลทำให้เลือดและออกซิเจนไหลเวียนไปเลี้ยงบริเวณศีรษะได้ไม่สะดวก เมื่อได้รับปัจจัยกระตุ้น ที่ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวมากขึ้น เช่น ความเครียด แสง สี เสียง กลิ่น หรือการ พักผ่อนไม่เพียงพอ จึงเกิดอาการปวดศีรษะข้างเดียวหรือไม่ก็ปวดสลับข้าง


แต่ปัจจุบันนี้มีวิธีการรักษาโรคไมเกรนแบบใหม่ ซึ่งใช้วิธีการของแพทย์สมัยใหม่ร่วมกับการกดจุด เรียกว่า ‘การรักษาแบบ DMT' (DoctorCare Manipulation Technique) วิธีการนี้ ผู้ป่วยไม่ต้องรับประทานยา หรือผ่าตัด เป็นการรักษาไมเกรนที่เห็นผลชัดเจน โดยสามารถรักษาได้ทั้งอาการไมเกรนเฉียบพลัน และป้องกันการกลับมาของอาการไมเกรนได้ดี DMT จะช่วยรักษาอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นกับระบบต่างๆ ของร่างกายที่ทำงานผิดปกติ เช่น ระบบกล้ามเนื้อ ประสาท การไหลเวียนเลือด โดยจะช่วยพลิกฟื้นระบบต่างๆ ของร่างกายให้เข้าสู่สภาวะสมดุลอีกครั้ง ทั้งยังช่วยให้การทำงานของอวัยวะต่างๆ รวมถึงสภาวะทางจิตใจ กลับมาทำงานสอดคล้องประสานกันทั้งระบบ ซึ่งกระบวนการนี้ เป็นกระบวนการรักษาสุขภาพที่ยั่งยืน

• แนวทางการรักษา
การรักษาแบบ DMT นั้น แพทย์อายุรเวทจะสอบถามถึงอาการปวด ตำแหน่งที่ปวด และปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการปวด โดยนำข้อมูลที่ได้จากผู้ป่วยไปเข้าโปรแกรมการสร้างความสมดุลของร่างกาย ร่วมกับเทคนิคการกดจุด เพื่อกระตุ้นการทำงานของทุกระบบในร่างกาย ร่วมกับการยืดกล้ามเนื้อ และการบริหารร่างกาย

• ขั้นตอนการรักษาแบบ DMT
- ตรวจสภาพกล้ามเนื้อ และตรวจหาตำแหน่ง Trigger Point ที่มีการกดทับ
- กดคลายกล้ามเนื้อที่แข็งเกร็งเหนือจุด Trigger Point
- กดสลาย Trigger Point เพื่อให้ Trigger Point คลายตัวออกเป็นกล้ามเนื้อปกติ
และกระตุ้นให้เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงศีรษะได้ดีขึ้น
- ยืดกล้ามเนื้อ เพื่อให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่น คลายตัว และเคลื่อนไหวได้ดี
กระบวนการดังกล่าวจะช่วยฟื้นฟูระบบต่างๆ ของร่างกาย ให้เข้าสู่สภาวะปกติได้ใหม่อีกครั้ง การรักษาใช้เวลาเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง โดยประมาณ 4-6 ครั้ง ผู้ที่เข้ารับการรักษากว่า 80% จะไม่มีอาการปวดรบกวนอีก อย่างไรก็ตาม หลังจากครบโปรแกรมการรักษาแล้ว ก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงการใช้กล้ามเนื้อต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานด้วย

อย่างไรก็ตาม การป้องกันตัวเองไม่ให้เจ็บป่วยจากโรคเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ซึ่งโรคไมเกรนนี้สามารถป้องกันได้ไม่ยาก ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัว เช่น อย่าใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเกินกว่า 2 ชั่วโมง ยุติกิจกรรมที่ใช้กล้ามเนื้อบริเวณบ่าและคอทันทีที่รู้สึกเกร็ง บริหารกล้ามเนื้อบริเวณบ่าและคอ ด้วยการยืดกล้ามเนื้อหลังการใช้คอมพิวเตอร์ทุกครั้ง หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เมื่อมีอาการปวดศีรษะ พักผ่อนและทำสมาธิเมื่อมีความเครียดเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ประคบน้ำอุ่นบริเวณบ่าและต้นคอเพื่อทำให้กล้ามเนื้อคลายจากการเกร็งตัว หลีกเลี่ยงแสงจ้า หรือสวมแว่นตากันแดด เป็นต้น

วันเสาร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

สูตรหน้าใสด้วยมะนาว

สูตรมะนาว ไข่ขาว แตงกวา

เป็นสูตรที่สาวๆที่มีผิวหน้ามันบอกต่อกันมานาน เพราะช่วยลดความมันบนผิวหน้าได้จริง โดยน้ำมะนาวที่อุดมไปด้วยสาร AHA (Alpha Hydroxy Acids) และวิตามินซี (Vitamin C) ช่วยปรับสภาพผิวหน้าให้เป็นกรดซึ่งไม่เหมาะกับการเติบโตของแบคทีเรีย จึงช่วยลดน้ำมันส่วนเกินที่เกิดจากแบคทีเรียเหล่านี้ ไข่ขาวช่วยบีบรัดรูขุมขนให้สิ่งสกปรกและน้ำมันส่วนเกินหลุดออกมาได้มากขึ้น และแตงกวาที่มีเอนไซม์ไคซีน (Cryssin) ช่วยย่อยโปรตีน จึงช่วยเร่งการผลัดเซลล์ผิวเก่าให้เร็วขึ้น และแตงกวาเองยังลดความระคายเคือง ช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื่นไม่แห้งเกินไป เพราะผิวหน้าที่แห้งจะกระตุ้นต่อมไขมันให้ผลิตน้ำมันมากเช่นเดิม


วิธีการ

โดยใช้น้ำมะนาว 1 ช้อนชา ไข่ขาว 1 ฟอง และแตงกวาลูกพอประมาณครึ่งลูก นำมาผสมให้เข้ากันจากนั้นนำมามาร์คหน้าทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออก สูตรนี้สามารถทำได้ 1-2 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่หากผิวหน้ามีแผล หรือเป็นสิวอักเสบไม่เหมาะจะใช้สูตรนี้เพราะจะทำให้ผิวอักเสบมากขึ้นได้

วันศุกร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

8 วิธีบอกลาผมร่วง

ปัญหาผมร่วง ศีรษะล้านนั้นมีหลากหลายสาเหตุ หนังสือ ผม มงกุฎแห่งความสง่างาม โดย นายแพทย์สมนึก อมรสิริพาณิชย์ ได้ระบุถึงปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาผมบางทั้งในผู้ชายและผู้หญิงไว้ว่า

เกี่ยวข้องกับสารอาหารและฮอร์โมน เช่น สตรีที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือน กินยาคุมกำเนิด หรือโรคบางชนิดที่อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน เช่น มีเนื้องอกที่สามารถผลิตฮอร์โมนนอกเหนือการควบคุมของร่างกาย รวมไปถึงความเครียดที่ทำให้ระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงไป และบางครั้งความผิดปกติของฮอร์โมน อาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการดูดซึมสารอาหารต่างๆ ทำให้ขาดสารอาหารจนผมหลุดร่วงได้


วิธีบอกลาผมร่วง
1.อย่าให้ร่างกายขาดธาตุเหล็ก ธาตุเหล็กเป็นสารอาหารที่จำเป็นต่อเส้นผม ช่วยสร้างฮีโมโกลบิน ซึ่งเป็นตัวนำออกซิเจน ทำให้โครงสร้างของเส้นผมแข็งแรง 80-90 เปอร์เซ็นต์ พบว่า สตรีที่มีปัญหาสุขภาพผมในช่วงวัยหมดประจำเดือน มักมีภาวะเลือดจางร่วมอยู่ด้วย จึงควรกินอาหารที่มีธาตุเหล็กหรืออาหารเสริมธาตุเหล็ก

2.งดชา กาแฟ เครื่องดื่มทั้งสองอย่างนี้ จะลดทอนความสามารถในการดูดซึมธาตุเหล็ก หากหลีกเลี่ยงได้จะช่วยได้มากทีเดียว

3.กินวิตามินซี เป็นวิตามินที่ช่วยให้การดูดซึมธาตุเหล็กดีขึ้น ดังนั้น จึงควรกินผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง

4.หากกินยาคุมกำเนิด ควรเสริมวิตามินและแร่ธาตุ ยาคุมกำเนิดอาจทำให้ระดับของวิตามินบีรวม และสังกะสี ที่มีความสำคัญต่อเส้นผมลดลง จึงควรกินสารอาหารเหล่านี้เพิ่มเติม เช่น ข้าวโอ๊ต ธัญพืชไม่ขัดขาว ถั่วต่างๆ ผักใบเขียว

5.อย่ากินวิตามินเอมากไป หากได้รับสารอาหารที่มีวิตามินเอสูงเกินจำเป็น อาจทำให้ผมร่วงได้ ดังนั้น จึงควรกินให้หลากหลาย ไม่มากหรือน้อยไปดีที่สุด

6.กรดไขมันก็จำเป็นนะ กรดไลโนเลอิกและแอลฟาไลโนเลนิก เป็นสารที่ร่างกายไม่สามารถผลิตได้เอง พบมากในเมล็ดธัญพืช ผักโขม ข้าวโอ๊ต

7.หยุดเครียด อย่างที่กล่าวไปว่า ความเครียดทำให้ระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง ความอยากอาหารน้อยลง การดูดซึมสารอาหารได้ไม่เต็มที่ เมื่อสารอาหารไปไม่ถึง เส้นผมก็หลุดร่วงได้เหมือนกันนะ ดังนั้น ทำจิตใจให้สบาย พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้สมองได้ผ่อนคลายดูบ้าง ช่วยได้เยอะ

8.หลีกเลี่ยงมลพิษ ทั้งแอลกอฮอล์และสารโลหะหนัก ที่ปล่อยทิ้งออกมาจากกระบวนการผลิตและอุตสาหกรรมต่างๆ ทำให้การดูดซึมสารอาหารลดลง และสามารถสะสมในเส้นผมได้


หลักๆ แล้วต้องฝึกนิสัยการกินอยู่ให้สมดุล กินอาหารให้หลากหลาย ได้รับสารอาหารที่เพียงพอต่อความต้องการ และที่สำคัญคือ ทำจิตใจให้ผ่อนคลาย หากิจกรรมหย่อนใจทำเวลาว่าง จะเป็นการแก้ปัญหาในระยะยาว ช่วยให้เส้นผมอยู่กับเราได้อีกนาน คอนเฟิร์ม

สูตรลดรอยตีนกาง่ายๆ

สูตรลบรอยตีนกา ด้วยสมุนไพรธรรมชาติ
    
    1.แครอต สูตรลบรอยตีนกาสูตรแรกคือการใช้ผลไม้หาง่ายอย่างแครอต โดยนำมาล้างให้สะอาด แล้วนำไปปั่นผสมกับน้ำเปล่าเล็กน้อยพอให้เหนียวเป็นครีมสำหรับพอกหน้าได้ จากนั้นนำมาพอกทิ้งไว้ 15 นาทีจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด แครอตมีวิตามินและเกลือแร่สูง อีกทั้งยังมีสารเบต้าแตดรทีน สารเพกติน กรดอะมิโนที่มีสรรพคุณช่วยให้ผิวเนียนเรียบ เต่งตึง ชุ่มชื้น รวมถึงเหล็ก แมงกานีส ทองแดงที่จำเป็นต่อการสร้างอีลาสตินและคอลลาเจน จึงช่วยให้ริ้วรอยจางลง ผิวหน้าเต่งตึงดูสดใสอ่อนกว่าวัย


    2.ใบบัวบก วิธีคือนำใบบัวบกที่ได้มาล้างให้สะอาดแล้วนำมาปั่น หรือบด หรือจะโขลกด้วยกรรมวิธีใดก็ได้ที่คุณถนัด เพราะสิ่งที่ต้องการคือน้ำใบบัวบก พอได้น้ำสดๆแล้ว ให้นำสำลีชุบมาน้ำใบบัวบก ทาให้ทั่วใบหน้าทาทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีจึงล้างออก โดยควรทำก่อนนอน น้ำใบบัวบกจะไปช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ลบรอยตีนกาอย่างได้ผล ทั้งนี้ ควรทำอย่างสม่ำสม่ำเสมอถึงจะเห็นผล
        
3.ใบตำลึง ให้นำเอายอดและใบอ่อนมาพอประมาณ นำมาปั่นรวมกับน้ำผึ้ง พอให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกันจนละเอียด แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 15 นาที จากนั้นล้างออกให้สะอาด ใบตำลึงมีวิตามินเอสูง ช่วยลดริ้วรอย รอยตีนกา ทำให้ใบหน้าเต่งตึง แถมยังช่วยลดจุดด่างดำบนใบหน้าได้อีกด้วย


บอกลาขาหมูเมื่อลดอาหารเหล่านี้

อาหารที่ทำให้ขาใหญ่

  1. อาหารที่มีรสหวานทุกชนิด เช่น ขนมหวาน เค้ก ช็อกโกแลตเป็นต้น อาหารเหล่านี้ประกอบไปด้วยน้ำตาลจำนวนมาก หากรับประทานมากเกินไปน้ำตาลที่เหลือจากร่างกายต้องการจะกักเก็บไว้ในรูปของไขมันสะสมไว้ตามส่วนต่างๆของร่างกาย
  2. อาหารที่มีรสเค็มจัดจะทำให้เนื้อเยื้อเกิดอาการบวมน้ำได้ เนื่องจากร่างกายเมื่อได้รับโซเดียมมากเกินกว่าที่ร่างกายต้องการต่อวัน คือ 2400 มิลลิกรัมหรือเท่ากับ 1 ช้อนชา ร่างกายจะมีความความเข้มข้นของเลือดสูงทำให้มีการดูดน้ำมากักเก็บไว้ในเซลล์ทำให้เซลล์เกิดอาการบวมน้ำ
  3. อาหารทอด ไขมันสูง ทำให้ร่างกายได้รับไขมันมากเกินความจำเป็นและมีการสะสมของไขมันส่วนเกิน
  4. เครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของโซเดียมสูง เช่นน้ำมะเขือเทศแบบสำเร็จรูป

สาเหตุที่ทำให้ผู้หญิงต้นขาใหญ่

  1. การนั่งอยู่กับที่เป็นเวลานานเกินกว่า 8 ชั่วโมงและมีการขยับร่างกายน้อย
  2. ชอบนั่งไขว้ขาหรือนั่งพับขาขึ้นมาวางบนเก้าอี้ ทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองไหลไม่สะดวกเกิดการคั่งบริเวณต้นขาและสะโพกได้
  3. การรับประทานอาหารที่มีรสเผ็ด เค็ม และหวานจัด เนื่องจากอาหารเค็มจะทำให้ร่างกายมีการสะสมของน้ำ อาหารรสหวานจะทำให้ร่างกายมีการเก็บน้ำตาลส่วนเกินไว้ในรูปของไขมันสะสมตามบริเวณต่างๆทั่วตัว
  4. ขาดการออกกำลังกายอย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ