วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เคล็ดลับ 40 ยังแจ๋ว ของ"เจนิเฟอร์ อนิสตัน"

ผู้หญิงวัย 40 ส่วนใหญ่มักจะลังเลกับการสวมใส่บิกินี่ ด้วยลักษณะของผิวพรรณที่เริ่มหย่อนคล้อย ดูยังไงก็ไม่เต่งตึงเนียนสวยเหมือนกับสาวแรกรุ่น
แต่สำหรับ เจนิเฟอร์ อนิสตัน ดาราสาวใหญ่วัย 41 ปีคนนี้ คงเป็นกรณียกเว้น เพราะทันทีที่เธอถอดเสื้อโชว์บิกินี่ตัวจิ๋ว เผยหุ่นสวยให้คนในกองถ่ายภาพยนตร์เรื่อง Just Go For It ได้เห็น ก็เล่นเอาสาวแรกรุ่นหลาย ๆ คนต้องอายกันเลยทีเดียว
ไม่เว้นแม้กระทั่ง บรู๊คลิน เดคเกอร์ ดาราสาวสุดเซ็กซี่วัย 23 ปี ที่แสดงร่วมกับอนิสตันในภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็ต้องยอมซูฮกยกนิ้วให้กับรูปร่างเชพบ๊ะชะ สุดเซ็กซี่ของเธอไปด้วยอีกคน
งานนี้ อนิสตัน ก็เลยเผยออกมาว่า ทันทีที่เธอรู้ว่าจะได้ใส่บิกินี่เข้าฉากกับ บรู๊คลิน เดคเกอร์ ทำให้เธอต้องรีบฟิตหุ่นตัวเองทันที เพื่อไม่ให้น้อยหน้าดาราสาวรุ่นน้อง โดยเคล็ดลับหุ่นสวยของเธอนั้น มาจากการที่เธอใช้เวลาออกกำลังกายในยิมถึงวันละ 80 นาที รวมไปถึงการเล่นโยคะ และวิ่งด้วย ซึ่งเป็นวิธีออกกำลังกายที่ให้ผลดีมาก ขณะเดียวกัน เธอก็ใช้วิธีเดินเร็วสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ควบคู่ไปด้วย
ส่วนเรื่องอาหารการกินนั้น เธอบอกว่า การลดน้ำหนักนั้นไม่จำเป็นต้องอดอาหารอะไรเลย เธอกินอาหารที่มีประโยชน์อย่างแท้จริง และไม่ใช้วิธีการอดอาหารโดยเด็ดขาด ซึ่งระหว่างที่เธออยู่ในช่วงฟิตหุ่นนั้น เธอดื่มกาแฟและไวน์ที่เธอชอบตามปกติ เพราะไม่มีอะไรต้องกังวัลทั้งนั้น เมื่อยังไงเธอก็ออกกำลังกายเผาผลาญพลังงานที่เธอรับเข้าไปทุกวันอยู่แล้ว ซึ่งการฟิตหุ่นของเธอวิธีนี้ นอกจากจะทำให้เธอมีหุ่นเฟิร์มกระชับและยังทำให้เธอมีสุขภาพดีอีกด้วย
แหม.. ทั้งสวย ทั้งรูปร่างดี แถมยังสุขภาพดีแบบนี้ เห็นทีว่า เจนิเฟอร์ อนิสตัน นี่แหละ จะเป็นนิยามของคำว่า "40 ยังแจ๋ว" ตัวจริง

ชอบเจนนิเฟอร์ๆๆๆๆ
ข้อมูลจาก http://www.kapook.com

สูตรลับหน้าสวย"ใสปิ๊ง"

วันนี้เรามีสูตรลับความงามมาฝากกันอีกแล้วค่ะ เพื่อผิวหน้าที่สวยใสไร้ที่ติของสาว ๆ เราแนะนำให้นำสูตรลับนี้ไปใช้ดูนะคะ มีอะไรบ้างไปดูกัน...
เตรียมส่วนผสม โดยใช้สตรอเบอรี่ 2 ลูก แตงกวาผ่าครึ่ง 1 ซีก น้ำมะนาว 1 ช้อนชา และน้ำขิงสดคั้นจากราก นำมาปั่นผสมให้เข้ากัน จากนั้นนำมาพอกทั่วทั้งใบหน้า ยกเว้นบริเวณรอบดวงตา ทิ้งไว้สัก 10 นาที แล้วล้างออก ทำเป็นประจำ สัปดาห์ละครั้ง หน้าก็จะเกลี้ยงเกลา สวยใส สมใจอยาก...
แฮ่ ม...ใครสนใจก็นำไปทำตามกันได้เลยค่ะ แต่ถ้าใครมีผิวที่แพ้ง่าย ๆ ควรระวังนิดนึงนะคะ ที่สำคัญก็อย่าลืมไปบอกต่อคนที่เรารักด้วยล่ะ...

ข้อมูลจากWoman's Story

6 อาหารช่วยเผาผลาญ "ไขมัน"

สาว ๆ ที่ชื่นชอบการรับประทาน แต่ก็กลัวความอ้วนถามหา ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้วค่ะ เพราะมีอาหารอยู่ 6 ชนิด ที่ช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย ยิ่งทานมาก ยิ่งมีประโยชน์มากค่ะ
กาแฟ
คาเฟอีนจะช่วยกระตุ้นเอ็นไซม์ ซึ่งมีหน้าที่เผาพลาญไขมัน ดังนั้นจึงควรจะดื่มกาแฟเป็นประจำ แต่ไม่ควรดื่มมาก แค่มื้อเช้าหนึ่งแก้ว หลังอาหารเที่ยงดื่มอีกหนึ่งแก้วก็พอแล้วค่ะ
ชาเขียว
มีการยืนยันว่าการดื่มชาเขียวเป็นประจำ ในปริมาณวันละ 4 แก้ว สามารถช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันได้ และดีต่อสุขภาพ
สาหร่าย และชาสาหร่าย
ออกฤทธิ์เช่นเดียวกับกรดแอสพาราจีน คือขับน้ำและของเสียออกจากร่างกาย ส่วนการเผาผลาญไขมันนั้น ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ว่าสามารถเผาผลาญได้จริงหรือไม่
ไวน์แดง
หากดื่มในปริมาณน้อย สารบางอย่างในไวน์แดงก็อาจจะช่วยขัดขวางการดูดซึมไขมันได้บ้าง แต่ก็ไม่ควร ดื่มมากเกินไป เพราะไวน์แค่ครึ่งแก้วสามารถให้พลังงานได้ถึง 72 แคลอรี
หน่อไม้ฝรั่ง
กรดแอสพาราจีนในหน่อไม้ช่วยทำให้ผอมได้ แต่กรดเหล่านี้เพียงช่วยขับน้ำออกมาเท่านั้น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเผาพลาญไขมันแต่อย่างใด
พริก
ในพริกมีสารรสเผ็ดร้อนที่ชื่อแคปไซซิน ช่วยเพิ่มความร้อนในร่างกาย สามารถช่วยเผาผลาญไขมัน ฉะนั้นใครที่ชอบกินเผ็ด ก็เหยาะพริกป่นลงไปหน่อย หรือรับประทานพริกสดที่ซอยบาง ๆ ร่วมกับอาหารอื่น ๆ ด้วยก็ดีค่ะ

ข้อมูลจาก Woman's Story

3 วิธีเปลี่ยน"ผิวเสีย" ให้เป็น"ผิวสวย"

ชีวิตที่แสนยุ่งเหยิงของสาว ๆ ยุคใหม่เป็นต้นตอที่ทำให้ผิวสวย ๆ สามารถทรุดโทรมลงได้ อย่างง่ายดาย แต่อย่าเพิ่งตกใจไป ไม่ว่าจะเป็นผิวพรรณที่หมองคล้ำเพราะชีวิตอันแสนเครียดหรือสิวที่เห่อเต็มหน้าเพราะฮอร์โมนในร่างกาย เรามีวิธีเปลี่ยนผิวเสียให้กลับเป็นผิวสวยดังเดิมมาให้คุณแล้ว
1. ผิวเสียสวยเพราะความเครียด
คุณมีโปรเจ็กต์งานที่ต้องทำให้เสร็จ ขณะที่ชีวิตรักกับเขา คนนั้นก็ดูจะไม่ค่อยโสภาสักเท่าไหร่นัก คุณรู้สึกไม่ค่อยดี เท่าไหร่นัก แถมผิวพรรณคุณยังดูแย่ตามไปด้วย
คุณดูเป็นยังไง? เงาที่มองอกมาจากกระจกคือหญิงสาวใบหน้าอ่อนโรย ผิวแห้งกร้านและหมองคล้ำ แถมยังตาบวมและมีรอยคล้ำใต้ตาอีกต่างหาก
เกิดอะไรขึ้น ดูเหมือนว่าสถานการณ์ในชีวิตที่ไม่เป็นใจทำให้คุณเครียดอย่างช่วยไม่ได้ และทุกครั้งที่คุณเครียดมันจะส่งผลกระทบไปยังผิวของคุณด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ระบบร่างกายของคุณจะมีประสิทธิภาพน้อยลงในการส่งออกซิเจนไปทั่วร่างกาย และผลของมันก็จะเห็นชัดเจนบนใบหน้า ที่ดูหม่นหมองและไร้ชีวิตชีวา แถมยังอาจเสี่ยงต่อการเกิดสิวเห่อหรือรอยอักเสบแดงตามมาได้ และในระยะยาวอาจส่งผลให้เกิดริ้วรอยก่อนวัยอีกต่างหาก
ทำยังไงดี ลดความเครียดของผิวด้วยการเพิ่มระดับแอนตี้ออกซิแดนต์ภายในร่างกาย และลดความเสียหายจากอนุมูลอิสระ วิธีหนึ่งก็คือการบริโภคผักและผลไม้มาก ๆ และใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีส่วนผสมของแอนตี้อกซิแดนต์ อย่างเช่น สารสกัดจากชาเขียว หรือชาขาว ไลโคปีน น้ำมันเกรปซีด โคเอนไซม์คิว 10 หรือวิตามินอี ซึ่งใช้ได้ทั้งรับประทานหรือเจาะแคปซูลเอาน้ำมันใส ๆ ภายในมาทาลงบนผิวหน้าได้โดยตรง
2. สิวบุกเพราะฮอร์โมนทำพิษ
ถ้าคุณมีสิวที่ผุดขึ้นมาโดยหาสาเหตุไม่ได้ โดยเฉพาะที่บริเวณคางในทางการแพทย์จีนบอกว่า คางคือศูนย์รวมของฮอร์โมนเพศหญิง ฉะนั้น ไม่ว่าจะเป็นการกินยาคุมกำเนิด การตั้งครรภ์ หรือการหมดประจำเดือน ซึ่งล้วนแต่ส่งผลต่อฮอร์โมนสามารถทำให้เกิดปัญหาผิวได้ทั้งสิ้น
คุณดูเป็นยังไง? มีสิวที่คาง ผิวหยาบกร้านสีผิวไม่เรียบเนียน มีรอยแดง และจุดด่างดำ
เกิดอะไรขึ้น เมื่อผู้หญิงต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน ไม่ว่าจะจากการมีประจำเดือน การกินยาคุมกำเนิด การตั้งครรภ์ การทำงานของธัยรอยด์ผิวปกติ หรือเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ระดับของเอสโตรเจนที่แปรปรวนนี้จะส่งผลให้ผิวเกิดความอ่อนไหวและมีปฏิกิริยาขึ้นมาอย่างทันใด นั่นคืออาจทำให้ผิวคุณเปลี่ยน เกิดมันขึ้นมาอย่างกะทันหัน เกิดสิววัยผู้ใหญ่ รอยแดงและผื่นคัน
ทำยังไงดี ลองปรึกษาแพทย์เพื่อหาทางออกให้แก่อาการแปรปรวนของฮอร์โมนไม่ว่าจะเป็นการรับฮอร์โมนทดแทน หรือใช้อาหารเสริม นอกจากนี้ เรียกความผุดผ่องของผิวกลับคืนมา ด้วยผลิตภัณฑ์ที่ออกมาแบบมาเพื่อเพิ่มระดับฮอร์โมนในผิว ที่ใช้ฮอร์โมนที่ได้จากพืชหรือไฟโตเอสโตรเจน อย่างเช่น ถั่วเหลือง เพื่อเสริมการทำงานของผิวอย่างมีประสิทธิภาพ
3. ผิวแห้งกร้านเพราะไลฟ์สไตล์สุดหักโหม
เราทุกคนต่างเคยเป็นมาแล้วทั้งนั้น ทำงานตลอดวัน และออกไปสนุกสนานตลอดทั้งคืนต่อเนื่องกัน แล้วก็ต้องตกใจที่ตัวเองดูแสนโทรมในสัปดาห์ถัดมา นี่คือราคาที่คุณต้องจ่าย จากการอดนอนสะสมกัน แอลกอฮอล์ และการเผชิญกับควันบุหรี่
คุณดูเป็นยังไง? ผิวแห้งกร้าน อาจมีรอยแตกหรือลอกอย่างชัดเจน และมีรอยดำคล้ำใต้ตา
เกิดอะไรขึ้น แอลกอฮอล์ทำให้ผิวอ่อนแอลงอย่างรุนแรง ลองคิดดูสิว่า แทนที่ออกซิเจนจะถูกส่งไปยังเซลล์ทั่วร่างกาย คุณกลับส่งแอลกอฮอล์ทั่วร่างกาย คุณกลับส่งแอลกอฮอล์ที่เป็นสารพิษไปแทน และถึงแม้คุณจะไม่ได้สูบบุหรี่ แต่บาร์ที่เต็มไปด้วยควันบุหรี่ก็ส่งผลเสียต่อร่างกายและผิวของคุณได้ไม่แพ้กันอีกทั้งยังทำให้ระดับวิตามินซีในร่างกายของคุณลดลงอย่างมากด้วย
ทำยังไงดี ทุกครั้งที่ดื่มเหล้าหนึ่งแก้ว ให้ดื่มน้ำสะอาดตามไปด้วยแก้วหนึ่งเสมอ เพื่อให้ผิวของคุณได้รับความชุ่มชื้นตลอดเวลา และปกป้องผิวของคุณด้วยการใช้ครีมที่มีวิตามินซึ่งต่อสู้กับความเครียดและอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะพยายามเพิ่มวิตามินซีให้ผิวให้มากที่สุด เนื่องจากผิวจะสามารถรักษาวิตามินตัวนี้เอาไว้ในผิวได้น้อยลง และเตรียมพร้อมผิวก่อนไปปาร์ตี้ด้วยการเพิ่มวิตามินจำนวนมากเอาไว้ สู้กับควันบุหรี่และแอลกอฮอล์ที่จะทำร้ายผิวของคุณ

ข้อมูลจาก Lisa

เคล็ดลับ"ผม"สวยด้วย "นม-ไข่"

คงไม่มีสาวคนไหนที่อยากมีผมที่ชี้ฟู ไร้น้ำหนัก สังเกตได้จากในบ้านของสาว ๆ ส่วนใหญ่ที่มักจะมีผลิตภัณฑ์บำรุงผมไม่ต่ำกว่า 3 ชนิด แถมยังเข้าซาลอนทำทรีทเม้นท์ อบไอน้ำได้อยู่บ่อย ๆ ด้วยแน่ะ ฮั่นแน่ ปฏิเสธกันไม่ได้เลยใช่มั้ยล่ะคะ.. อิอิ
ความจริงแล้วแต่ละคนก็คงมีวิธีดูแลผมที่แตกต่างกันไปนะคะ แต่วันนี้กระปุกดอทคอมมีอีกหนึ่งวิธีค่ะ ที่จะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับทุกสภาพผม เรียกได้ว่าเป็นเคล็ดลับผมสวยเงางามที่ไม่ว่าใครก็ทำได้เลยทีเดียว แถมยังทำให้ผมคุณมีน้ำหนักและเงางามขึ้นอย่างเห็นผลอีกด้วยนะ เพียงแค่คุณมี นม และ ไข่ อยู่ในบ้านเท่านั้นเอง เอาล่ะ ถ้ามีแล้วก็เริ่มปฏิบัติการเพิ่มผมสวยกันได้เลย
สำหรับวิธีการนั้น สาว ๆ หลายคนคงจะเดากันออกแล้ว นั่นคือการนำไข่กับนมมาหมักผมนั่นเองค่ะ เริ่มจากนำนมมาเทลงในถ้วยให้พอหมักผมทั้งหัว เสร็จแล้วตอกไข่แล้วแยกไข่แดงออกจากไข่ขาว แล้วนำเฉพาะไข่แดงผสมลงในถ้วยนม อาจใส่น้ำมันมะกอกผสมลงไปด้วยซัก 1 ช้อนชาก็ได้ เสร็จแล้วตีให้เข้ากัน เพียงแค่นี้คุณก็ได้ทรีทเม้นท์ดี ๆ สำหรับเส้นผมแล้วล่ะค่ะ
เมื่อผสมส่วนผสมทั้งหมดเสร็จแล้ว ให้นำมาหมักผมได้เลย หลังจากชโลมทั่วผมแล้ว ให้คุณนวดเส้นผมและหนังศีรษะประมาณ 5-10 นาที เพื่อช่วยให้ไข่และนมเข้าบำรุงเส้นผมได้ดียิ่งขึ้น จากนั้นทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด และทำความสะอาดอีกครั้งด้วยการสระผมค่ะ
เพียงแค่นี้ก็เป็นอันเสร็จพิธีเรียบร้อย แนะนำให้ทำสัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้งค่ะ เพื่อให้ได้ผลเร็วขึ้นและเป็นการฟื้นฟูผมที่ต่อเนื่องด้วยค่ะ

ข้อมูลจาก http://www.kapook.com

เทคนิคบริหาร "บั้นท้าย"

ถึงแม้การลดเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ แต่กายบริหารบางท่าจะใช้กล้ามเนื้อบางส่วนมากกว่า จึงสามารถสร้างความแตกต่างให้ส่วนนั้น ๆ ได้ ดังนั้น ถ้าบั้นท้ายคือปัญหาของคุณ ลองมาดูว่าการออกกำลังและกายบริหารแบบไหนจะช่วยคุณได้
1.ท่าสควอต (Squat)
ท่าแยกขาย่อเข่าเป็นหนึ่งในท่าที่จัดการกับบั้นท้ายสะโพก และต้นขาได้อย่างดีเยี่ยม ลองเพิ่มความหลากหลายให้ท่าสควอตด้วยการยืนหน้าเก้าอี้ แยกขากว้างเท่าช่วงไหล่หลังตรง แขม่วหน้าท้อง แล้วหย่อนตัวลงนั่งเก้าอี้โดยให้ก้นสัมผัสขอบที่นั่งเพียงหมิ่น ๆ แล้วเกร็งก้นลุกขึ้นยืน ทำซ้ำ 2-3 เช็ต เช็ตละ 8-12 ครั้ง
2.ท่าลันจ์ (Lunge)
ท่าก้าวขาย่อเข่านี้ เป็นท่าที่ใช้กล้ามเนื้อหลายส่วนในเวลาเดียวกัน ขาที่อยู่ข้างหน้าได้บริหารก้นและแฮมสตริง (กล้ามเนื้อหลังขา) ส่วนขาที่อยู่ด้านหลังบริหารน่อง เพื่อเพิ่มความยาก คุณอาจจะยกขาด้านหลังพาตไว้บนบันไดหรือยกพื้น แต่ถ้าคุณมีปัญหาเรื่องเข่าควรหลีกเลี่ยงเท่านี้
3.ท่าสเต็ปอัพ
ท่าบริหารง่าย ๆ ที่ทำได้ด้วยการวางเท้าข้างหนึ่งบนขั้นบันไดหรือยกพื้น แล้วกดน้ำหนักลงที่เท้าหน้าพร้อมกับยกตัวขึ้นเหมือนจะขึ้นบันได ท่านี้ดีอย่างมากสำหรับกล้ามเนื้อกัน พยายามทำช้า ๆ และตอนลงกลับสู่ท่าเริ่มให้ลงและพื้นเบา ๆ
4.ท่า Hip Extension
นี่เป็นท่าบริหารที่พุ่งเป้าไปยังกล้ามเนื้อกันทั้งหมด วิธีทำก็คือ คุกเข่าแล้วก้มตัวลง ใช้ข้อศอกเท้าพื้นข้างหน้าในท่าคลาน เกร็งหน้าท้องขณะที่ยกขาข้างหนึ่งขึ้น ให้เข่างอ 90 องศา ตลอดเวลา และฝ่าเท้าหันขึ้นหาเพดาน ยกขาขึ้นจนต้นขานานกับพื้น จากนั้น ลดขาลงและทำซ้ำ 1-3 เช็ต เช็ตละ 10-16 ครั้งก่อนจะเปลี่ยนข้าง อาจใส่น้ำหนักพันข้อเท้าเพื่อเพิ่มแรงต้านก็ได้
5.ทำ One Legged Deadlift
ท่าถือดัมเบลล์และก้มตัวลงให้ตุ้มน้ำหนักแตะพื้นหรือท่าเดดลิฟต์ เป็นท่ายกน้ำหนักที่ดีมากสำหรับกล้ามเนื้อแฮมสตริง ก้น และบั้นเอว แต่ต้องทำท่าให้ถูกต้องเสมอ และควรหลีกเลี่ยงท่านี้ถ้าคุณมีปัญหาเรื่องหลัง ท่าเดดลิฟต์ยกขาเป็นท่าที่เพิ่มความท้าทายอีกระดับหนึ่ง วิธีการก็คือยืนตรง ยกขาขวางอขึ้นจนทำมุม 90 องศา ถือดัมเบลล์ไว้ในมือทั้งสองข้างซึ่งวางอยู่หน้าตัว จากนั้น ก้มตัวลงหาพื้น ให้หลังและขาดตรงตลอดเวลา หยุดเมื่อดัมเบลล์ลงมาถึงครึ่งหน้าแข้ง ก่อนจะกลับสู่ท่าเริ่มสลับขาข้างละ 2-3 เช็ต เช็ตละ 8-12 ครั้ง

ข้อมูลจาก Lisa

เทคนิคแต่งหน้าบน"รถ"

ชีวิตที่แสนเร่งรีบทำให้สาว ๆ สมัยนี้ต้องอาศัยเวลาในรถ เพื่อแต่งหน้ากัน ซึ่งเรารู้ว่ามันไม่ง่ายเลย แต่ถ้าคุณจำเป็นต้องแต่งหน้าในรถบ่อย ๆ ก็ลองใช้วิธีการของเราต่อไปนี้ดู
เก็บครีมรองพื้นชนิดน้ำไว้ก่อน แล้วหันมาใช้รองพื้นแบบครีมซึ่งมีฟองน้ำสำหรับทามาให้พร้อม ครีมรองพื้นแบบนี้ จะช่วยให้คุณเกลี่ยได้ง่ายโดยไม่ต้องกลัวหกเลอะเหอะ
การใช้อุปกรณ์ในการแต่งหน้าอย่างแปรงปัดบลัชออนนั้น อาจสร้างความลำบากในการแต่งหน้าให้คุณได้ ฉะนั้น ก็หันมาใช้บลัชออนชนิดครีมที่ใช้นิ้วเกลี่ยลงบนแก้มได้ง่ายแทน
ถ้าคุณเป็นคนชอบเขียนตา ก็ลืมอายไลเนอร์ชนิดน้ำไปเลย แล้วหันมาใช้แบบที่เป็นดินสอแทน เพราะจะเขียนให้ดูเรียบคมได้ง่ายกว่า
อย่าใช้ที่ดัดขนตาในรถเด็ดขาด เพราะคุณอาจหนีบขนตาหลุดออกมาได้ ลองหันมาใช้เทคนิคนี้แทน นั่นคือหลังจากปัดมาสคาร่าแล้ว ใช้นิ้วชี้กับนิ้วหัวแม่มือจับเส้นขนตาให้ยกขึ้นจนกว่ามาสคาร่าจะแห้ง
ลิปสติกสีสวย ๆ อาจสร้างปัญหายามทาตอนอยู่ในรถ หันมาใช้ลิปกลอสสีอ่อน ๆ แทนจะดีกว่า
ข้อมูลจาก Lisa

8 ขั้นตอนเพื่อ"ผิวหน้า" สะอาดหมดจด

สาว ๆ หลายคนมักจะให้ความสำคัญกับครีมบำรุงผิวเป็นอันดับแรก เพราะคิดว่าจะช่วยทำให้ผิวของคุณสว่างใส และนุ่มนวลขึ้นได้อย่างแท้จริง แต่นี่เห็นจะเป็นความคิดที่ผิดแล้วล่ะค่ะ เพราะขั้นตอนที่จะทำให้ผิวของคุณสวยใสไร้ปัญหาอย่างแท้จริง คือการทำความสะอาดผิวให้สะอาดหมดจดต่างหาก
กระปุกดอทคอมวันนี้ก็เลยมีเคล็ดไม่ลับ ในการทำความสะอาดผิวหน้าให้สะอาดหมดจดอย่างแท้จริงมาฝากกัน เพื่อเป็นการเตรียมผิวให้ได้รับการบำรุงจากผลิตภัณฑ์ชนิดอื่นอย่างเต็มที่ ไม่มีสิ่งสกปรกมาขัดขวาง ว่าแล้วก็ไปดูกันดีกว่าว่า การล้างหน้าให้สะอาดนั้นทำได้อย่างไร
1. เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับผิวหน้า สาว ๆ ควรรู้ว่าผิวหน้าของตัวเองมีสภาพแบบไหน ผิวแห้ง มัน หรือ บอบบางแพ้ง่าย ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาผิวตามมา คุณควรเลือกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดให้เหมาะกับผิวหน้าของคุณนะคะ โดยเฉพาะสาว ๆ ที่มีผิวแพ้ง่าย ควรใส่ใจกับผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเป็นพิเศษ เพื่อป้องกันการเกิดผด ผื่น สิว หรืออาการแพ้ทางผิวหนังค่ะ
2. Makeup Remover ผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางจำเป็นสำหรับสาวที่ต้องแต่งหน้าทุก ๆ วัน เพราะจะช่วยทำความสะอาดเครื่องสำอางที่อุดตันอยู่บนใบหน้าได้ง่ายขึ้น แต่สำหรับวันไหนที่ไม่แต่งหน้า Makeup Remover ไม่จำเป็นสำหรับสาว ๆ เลยนะคะ เพราะแค่การล้างหน้าด้วยโฟมหรือเจลล้างหน้าก็พอแล้วล่ะค่ะ
3. ควรล้างหน้าด้วยโฟม เจล หรือสบู่ล้างหน้าอีกครั้ง หลังจากคุณล้างเครื่องสำอางเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่ว่า Makeup Remover ทำความสะอาดผิวได้ไม่หมดจด แต่ Makeup Remover นั้นมีไว้ล้างเครื่องสำอางออกจากผิวหน้า ซึ่งอาจไม่ได้มีคุณสมบัติในการทำความสะอาดผิวอย่างแท้จริง ดังนั้น หากวันไหนที่คุณแต่งหน้า ให้คุณทำความสะอาดผิว 2 ขั้นตอน คือล้างเครื่องสำอาง และทำความสะอาดผิวอีกครั้งค่ะ
4. คุณควรนวดโฟม เจล หรือสบู่ให้ทั่วใบหน้า นานประมาณ 1 นาที เพื่อให้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดได้ซึมซับเข้าไปทำความสะอาดในรูขุมขน
5. ในการล้างหน้าด้วยน้ำสะอาด คุณอาจต้องล้างหลายครั้งหน่อยหากใช้วิธีการรอน้ำจากอ่างล้างมือขึ้นมาล้างหน้า แต่หากเป็นการล้างหน้าตอนอาบน้ำ แนะนำให้คุณใช้ฝักบัวล้างหน้าขณะอาบน้ำดีกว่า เพราะมั่นใจได้ถึงความสะอาดจริง ๆ
6. โทนเนอร์เช็ดหน้า อาจไม่ได้จำเป็นกับสาว ๆ ทุกคน ขึ้นอยู่กับสภาพผิวของแต่ละคนด้วย ดังนั้น หากคุณล้างหน้าให้สะอาดหมดจดแล้ว โทนเนอร์เช็ดหน้าไม่ได้จำเป็นกับผิวคุณเลยค่ะ ยกเว้นโทนเนอร์บางตัวที่มีคุณสมบัติเปิดรูขุมขนเพื่อเตรียมผิวเข้าสู่ขั้นตอนการบำรุงผิวต่อไป
7. โฟมล้างหน้าที่มีเม็ดบีดส์สครับผิว อาจทำร้ายผิวหน้ามากกว่าทำความสะอาดผิว แม้จะมีโฟมสครับหลายตัวที่บอกว่าสามารถใช้ได้ทุกวันก็ตามที แต่โฟมล้างหน้าประเภทนี้ จะขัดผิวคุณไปด้วย ซึ่งคุณก็รู้ดีว่าการขัดผิวนั้นไม่ควรทำทุกวันอยู่แล้ว ดังนั้น โฟมล้างหน้าประเภทนี้ไม่ได้จำเป็นเลยค่ะ หรือหากคุณอยากใช้จริง ๆ ควรใช้เพียงสัปดาห์ละ 2 - 3 ครั้งเท่านั้นก็เพียงพอ
8. เช็ดหน้าให้แห้ง ด้วยการค่อย ๆ ซับหน้าเบา ๆ ด้วยผ้าสะอาด และทางที่ดี ผ้าเช็ดหน้ากับผ้าเช็ดตัวไม่ควรเป็นผ้าผืนเดียวกันนะคะ เพราะผิวหน้านั้นบอบบางกว่าผิวส่วนอื่น และอ่อนโยนต่อสิ่งสกปรกแม้เพียงน้อยนิดค่ะ

ข้อมูลจาก http://www.kapook.com

คล็ดลับช่วย"เผาผลาญ" เมื่อเผลอตามใจปาก

น้ำส้มสดช่วยคุณได้
เพราะวิตามินที่อยู่ในส้มจะช่วยดูดซึมสารอาหารที่สำคัญ และถ้าทานเป็นผลเลยก็จะช่วยควบคุมน้ำหนักได้อีกทางหนึ่งด้วย เพราะในส้มมีเส้นใยธรรมชาติที่ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องได้นานค่ะ
อาหารจำพวกธัญพืช
เนื่องจากอุดมด้วยไฟเบอร์ วิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ จำนวนมาก ซึ่งจะช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำการย่อยช้า ๆ เข้าสู่ร่างกาย เราก็จะรู้สึกอิ่มท้องนานขึ้น
เคี้ยวให้ช้าลง
การทานเร็วจะทำให้ทานอาหารมากกว่าปกติโดยไม่รู้ตัว และทางที่ดีหลัง 6 โมงเย็นไม่ควรทานอะไรอีก
เลือกทานผักและผลไม้เป็นประจำ
มีสารอาหารที่ร่างกายต้องการอยู่มากมาย จึงจำเป็นที่ร่างกายต้องได้รับทุกวัน ซึ่งผลไม้ควรเลือกที่ให้พลังงานต่ำ อย่างเช่น มะม่วง ฝรั่ง ชมพู่ แตงโม เป็นต้นค่ะ
เคลื่อนไหวร่างกาย
หาเวลาว่างเคลื่อนไหวร่างกายให้ได้เหงื่อบ้าง หรือถ้ามีเวลาก็ไปออกกำลังดีกว่า โดยเริ่มแรกอาจจะวันละ 30 นาที และเมื่อร่างกายปรับเข้าที่ก็เพิ่มเป็นวันละ 1 ชั่วโมง จะช่วยเผาผลาญไขมันได้เป็นอย่างดี

ข้อมูลจาก Woman's Story

วันเสาร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

"ทรีทเม้นท์"ง่าย ๆ จากใน"ครัว"

ถ้าพูดถึงเรื่องทรีทเม้นท์สำหรับผิวพรรณและเส้นผมแล้ว สาว ๆ หลายคนอาจจะคิดไปถึงผลิตภัณฑ์เพื่อผิวสวยผมสวยที่มีให้เลือกใช้กันในท้องตลาดมากมายทุกวันนี้ แต่คุณ ๆ เชื่อมั้ยคะว่า ทรีทเม้นท์ต่าง ๆ ที่ว่าดี ไม่จำเป็นต้องอยู่ในรูปแบบของผลิตภัณฑ์เสมอไปหรอกค่ะ
เพียงแค่คุณลองสำรวจของที่มีในครัวดู จะพบว่าทรีทเม้นท์ดี ๆ ก็อยู่ในครัวของเรานี่เอง ไม่ต้องไปหาซื้อทรีทเม้นท์ที่ไหนเลย เอ้า!! คราวนี้ก็ตามไปดูพร้อม ๆ กันดีกว่าว่า วัตถุดิบในครัวที่มีประโยชน์ต่อผิวพรรณและเส้นผมของคุณน่ะ มีอะไรบ้าง
กล้วย จะมีใครซักกี่คนรู้ว่า กล้วยเป็นมอยซ์เจอไรเซอร์ที่ดีสำหรับผิวเลยทีเดียวล่ะ เพราะมีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้นและนุ่มนวลให้ผิวหน้าของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับการเอากล้วยมาช่วยบำรุงผิวนั้น มีวิธีการง่าย ๆ เพียงคุณบดกล้วยให้เละ แล้วนำมาพอกหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น คุณจะพบว่าผิวหน้าของคุณนุ่มชุ่ มชื้นมากขึ้นเยอะเลยทีเดียว อ๊ะ ๆ ยังค่ะ
ยังไม่จบ นอกจากกล้วยจะช่วยให้ผิวหน้านุ่มนวลขึ้นแล้ว ยังมีประโยชน์กับสุขภาพผมด้วยนะ เพียงแค่คุณบดกล้วยให้เละ ผสมด้วยนำมันอโวคาโดหรือน้ำมันมะกอก นำมาหมักผมทิ้งไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง กล้วยจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้เส้นผม ทำให้ผมที่แห้งฟูกลับมีสุขภาพที่ดีขึ้นได้
น้ำตาลแดง สาว ๆ หลายคนคงพอรู้กันมาบ้างแล้วว่า น้ำตาลสามารถนำมาขัดผิวได้และให้ผลดีเลยทีเดียว ในการนำน้ำตาลมาช่วยขัดผิวนั้น ให้คุณนำน้ำตาลแดงผสมกับน้ำมันมะกอก เสร็จแล้วนำมาขัดผิวช้า ๆ น้ำตาลจะช่วยทำให้เซลล์ผิวที่ตายแล้วหลุดลอกออกมา เผยผิวใหม่ที่สดใสกว่าเดิมค่ะ
ถุงชา สำหรับสาว ๆ ที่มีปัญหาถุงใต้ตา ให้นำถุงชาที่แช่เย็น มาประคบใต้ตา ลดอาการบวมและปัญหาถุงใต้ตาได้ค่ะ
กะทิ กะทินั้นมีประโยชน์นักสำหรับผู้ที่มีปัญหาผมแห้ง ชี้ฟู ดังนั้นให้คุณนำกะทิมาผสมกับน้ำมันมะกอก 1 ช้อนช้า หมักผมทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที ก่อนสระผม จะช่วยให้ผมคุณดูมีน้ำหนักขึ้นได้
หน่อไม้ฝรั่ง ใครจะรู้ว่าหน่อไม้ฝรั่งจะช่วยขัดผิวได้ เพียงแค่คุณนำมาบดแล้วผสมลงในนม แล้วนำมาขัดผิว หรือพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที ช่วยกำจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและผลัดเซลล์ผิวใหม่ให้ผิวหน้าคุณดูสว่างสดใสขึ้นได้ค่ะ
ส้ม ส้มเป็นผลไม้อีกชนืดหนึ่งที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วและสามารถลดความหยาบกร้านของผิวได้ เช่น ผิวบริเวณข้อศอก ดังนั้น การใช้ส้มขัดผิวก่อนอาบน้ำก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยเผยผิวสว่างใสของคุณได้ไม่แพ้กันค่ะ
เห็นมั้ยล่ะคะว่า ทรีทเม้นท์ที่ช่วยบำรุงและฟื้นฟูผิวและเส้นผมคุณน่ะ หาได้จากในครัวจริง ๆ ดังนั้น ถ้าหากคุณเป็นอีกคนที่ไม่อยากจะจ่ายเงินให้กับทรีทเม้นท์ราคาแพง ๆ หรือไม่มีเวลาไปทำทรีทเม้นท์ที่คลินิกล่ะก็ ลองใช้วัตถุดิบที่มีในครัวมาเป็ นทรีทเม้นท์ดู นอกจากจะประหยัดเงิน ประหยัดเวลาแล้ว รับรองว่า ทรีทเม้นท์จากธรรมชาติเหล่านี้ให้ผลไม่แพ้ผลิตภัณฑ์ตามท้องตลาดเลยทีเดียวล่ะ

ข้อมูลจาก http://www.kapook.com

บำรุง"ผิว" จากภายใน

ไม่ว่าหญิงหรือชาย มักปรารถนาเป็นเจ้าของผิวสวยตามธรรมชาติ เรียกกันว่าสวยมาจากข้างในชนิดที่ไม่ต้องพึ่งพาโลชั่นบํารุงผิวให้เสี่ยงต่อสารเคมี โดยเฉพาะคุณแม่ที่กําลังตั้งครรภ์ ต้องเริ่มมาจาก "You are what you eat" กินอย่างไรก็ได้เช่นนั้นค่ะ ในเรื่องผิวก็เช่นกัน เพราะคุณสามารถสร้างให้ผิวสวยขึ้นได้จากอาหารการกินค่ะ
มาลองทบทวนกันดูสิว่าในแต่ละวัน คุณได้ทานอาหารเหล่านี้บ้างหรือยัง
ส้ม อุดมไปด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบํารุงผิวพรรณให้สดใสดูอ่อนวัย
มะนาว อุดม ด้วยวิตามินซีที่มีประโยชน์ต่อผิว แล้วยังช่วยทําความสะอาดตับ ซึ่งทําหน้าที่กําจัดของเสียออกจากร่างกายได้อีกด้วย
แครอท ให้คุณค่าเบต้าแคโรทีน ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นวิตามินเออาหารที่จําเป็นสําหรับผิว
กีวี ประกอบด้วยวิตามินซีที่เป็น ประโยชน์ต่อการสร้างคอลลาเจน
อะโวคาโด อุดมด้วยวิตามินอีที่ช่วยบํารุงผิว กินอะโวคาโดวันละผลจะให้วิตามินอี เพียงพอกับความต้องการของร่างกายในแต่ละวันได้
โยเกิร์ต ช่วยในการขับถ่าย ทําให้ผิวพรรณสดใส ไม่หมองคล้ำ
เมล็ดถั่วต่าง ๆ อุดมด้วยโปรตีน ซึ่งเป็นสารอาหารที่จําเป็นสําหรับผิวสวย
งา อุดมด้วยวิตามินบี สังกะสี โพแทสเซียม ช่วยเสริมสร้างเซลล์ผิวใหม่ทําให้ผิวสดใสอ่อนวัยเสมอ
น้ำมันมะกอก มีวิตามินอีอยู่มาก ช่วยบํารุงคอลลาเจนใต้ผิวให้เนียมนุ่มชุ่มชื่นอย่างเป็นธรรมชาติ
ผักโขม อุดมด้วยธาตุเหล็ก ช่วยบํารุงผิวให้เปล่งปลั่งมีสุขภาพดี
ปลามีไขมัน เช่น แซลมอน น้ำมันปลาช่วยให้ผิวเต่งตึงไม่เหี่ยวย่น กินอย่างน้อย 2 มื้อต่อสัปดาห์
น้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ช่วยชําระของเสียและสารพิษต่าง ๆ ออกจากร่างกาย
ลูกพีช องุ่น แอปเปิ้ล ส้ม อ้อย มะขาม มีวิตามินที่ช่วยให้ผิวสดใส มีน้ำมีนวลอย่างเป็นธรรมชาติ
บํารุงผิวคุณแม่สวย
ผิวแห้ง เพิ่มปลาที่มีน้ำมัน เช่น แมคคอเรล แซลมอน กะตัก เมล็ดธัญพืช ถั่วเปลือกแข็ง เพื่อให้ผิวได้รับไขมันที่ดี ลดไขมันอิ่มตัว มาร์การีน ฟาสต์ฟู้ด อาหารสําเร็จรูป มันฝรั่งทอด บิสกิต น้ำตาลทรายขาว
ผิวมัน เพิ่มผลไม้ ผักสดให้ผิวชุ่มชื่น เช่น สับปะรด มะละกอ อะโวคาโด ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดธัญพืช ลดอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว นม เนย เนื้อแดง
ผิวแพ้ง่าย เพิ่มวิตามิน วิตามินเอ วิตามินซี ซึ่งพบในแครอท มะม่วง กีวี ข้าวโอ๊ต ถั่วเปลือกแข็ง เนื้อสัตว์ เพื่อเพิ่มธาตุสังกะสี และลดอาหารรสจัด เช่น พริก พริกไทย เป็นต้น
หลีกเลี่ยงอาหารทําลายผิว
มาร์การีน เป็นตัวการทําให้เกิดริ้วรอยมากขึ้น
อาหารทอด ทําให้รูขุมขนอุดตันจนเกิดสิว
คาเฟอีน ดูดซึมวิตามินและแร่ธาตุที่จําเป็นจากร่างกาย และทําให้ผิวขาดความชุ่มชื่น
เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ทําให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ กรณีที่แพ้จะทําให้ผิวเป็นผื่นแดงได้ด้วย

ข้อมูลจาก Mother&Care

ดื่มอย่างไร ไม่ให้"อ้วน"

หากคุณดื่มเครื่องดื่มพวกนี้เป็นประจำจะทำให้ลดน้ำหนักได้ยาก อาหารพลังงานว่างเปล่า เช่น น้ำตาล น้ำอัดลม เพราะน้ำตาลทุก ๆ 1 ช้อนชา จะเพิ่มพลังงานส่วนเกินแก่ร่างกาย 16 กิโลแคลอรี คาร์โบไฮเดรตอันตรายเป็นอีกชื่อที่เราอาจได้ยินอยู่บ่อย ๆ ได้แก่ น้ำตาล น้ำหวาน น้ำอัดลม อาหารแปรรูปที่มีแป้ง น้ำตาล และไขมัน ระวังน้ำผลไม้ 100% แม้จะมีประโยชน์แต่ก็เป็นคาร์โบไฮเดรตล้วน ๆ ดื่มมากก็อ้วนได้เช่นกัน ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่รักสุขภาพ และต้องการลดน้ำหนักหรือควบคุมน้ำหนัก หากต้องการเครื่องดื่มสักแก้วควรพิจารณาดังนี้
เลือกดื่ม
นมจืดพร่องมันเนย นมถั่วเหลืองเสริมแคลเซียมไม่เติมน้ำตาล เป็นเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางอาหารสูง
น้ำเปล่า น้ำแร่ น้ำโซดา ชาไม่ใส่น้ำตาล เป็นเครื่องดื่มที่ไม่มีแคลอรี
เครื่องดื่มเกลือแร่ เหมาะสำหรับผู้ออกกำลังกายหนักๆที่สูญเสียเหงื่อมาก ผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักตัว หรือผู้เป็นเบาหวานควรจำกัดปริมาณการดื่มต่อครั้ง เพราะเครื่องดื่มประเภทนี้มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบอยู่
ผู้บริโภคที่ฉลาดต้องทราบว่า
น้ำหวานมีแคลอรีประมาณ 130-120 แคลอรีต่อกระป๋อง แคลอรีทั้งหมดมาจากน้ำตาลทราย ซึ่งมีอยู่ประมาณ 10 ช้อนชา
น้ำชาเขียว ชาขาวที่มีส่วนผสมของน้ำตาลมีแคลอรีประมาณ 120-200 แคลอรีต่อขวด (500 มล.)
เครื่องดื่มธัญพืช 1 กล่อง (200 มล.) มีแคลอรีประมาณ 90-110 แคลอรี หรือเท่ากับข้าวสวย 1 ทัพพี
กาแฟเย็น โอเลี้ยง ชาเย็น ชาดำเย็น มีส่วนผสมของน้ำตาลสูงมาก มีแคลอรีประมาณ 120-300 แคลอรีต่อแก้ว ถ้าดื่มบ่อย ๆ จะทำให้ได้รับแคลอรีและน้ำตาลเกินได้ง่าย
นมเย็น ที่มีขายทั่วไปมีส่วนผสมของนมข้นหวานมากกว่านมจืด และไม่จัดว่าเป็นเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางอาหารสูงเหมือนนม
นมเปรี้ยวพร้อมดื่มมักมีน้ำตาลสูง ถ้าดื่มควรเลือกแบบที่มีน้ำตาลน้อย มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบน้อยกว่า 3% ต่อหนึ่งหน่วยบริโภค
กาแฟ ชา และเครื่องดื่มรสมอลต์แบบสำเร็จรูป 3 in 1 มักมีน้ำตาลสูง และมีส่วนผสมของครีมผงที่มีส่วนประกอบของน้ำมันมะพร้าว ซึ่งมีไขมันอิ่มตัวสูง ควรเลือกนมผงหรือนมสดใส่ในเครื่องดื่มเหล่านี้แทน
แอลกอฮอล์ ทั้งไวน์ เบียร์ และเหล้าผสม มีแคลอรีสูง ถ้าเลือกดื่มไม่ควรเกิน 1 แก้วต่อวันสำหรับผู้หญิง และ 2 แก้วต่อวันสำหรับผู้ชาย
น้ำผลไม้ปั่นเป็นเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางอาหารสูง แต่ควรระวังเรื่องปริมาณ เนื่องจากมีน้ำตาลธรรมชาติสูง
น้ำผลไม้แม้จะเป็นเครื่องดื่มที่ดี ให้วิตามินซีสูง แต่ขอให้เลือกน้ำผลไม้ 100% ปริมาณไม่เกินวันละ 120-240 มล. แต่คุณจะได้พลังงานส่วนเกินถ้าดื่มมากขึ้น และไม่ได้ใยอาหารและสารอาหารเหมือนกับการกินผลไม้สด สำหรับผู้เป็นเบาหวาน น้ำผลไม้ 120 มล. จะต้องแลกกับผลไม้สด 1 ส่วน ไม่ควรตุนน้ำผลไม้มากเกินไปเพราะจะมีโอกาสดื่มเพิ่มขึ้น
เราสามารถตรวจสอบน้ำตาลจากฉลากอาหารบนเครื่องดื่มได้ ปริมาณน้ำตาลที่ระบุเป็นปริมาณรวม ระหว่างน้ำตาลธรรมชาติและน้ำตาลที่เติมลง ไปในเครื่องดื่ม วิธีดูปริมาณน้ำตาลที่ดีที่สุดคือการอ่านส่วนประกอบในอาหารด้วย
เหตุผลที่เราบริโภคน้ำตาลเกินพิกัด เพราะน้ำตาลได้แปลงกายซ่อนอยู่ในรูปของน้ำเชื่อมชนิดต่าง ๆ น้ำผึ้ง น้ำผลไม้ ฟรักโทส และกากน้ำตาล ล้วนแล้วแต่เป็นพลังงานว่างเปล่า ซึ่งให้แค่พลังงานอย่างเดียวโดยไม่มีวิตามิน แร่ธาตุ และกากใยอาหารเหมือนน้ำตาลธรรมชาติที่พบในผลไม้สดและนม แต่ขึ้นชื่อว่าน้ำตาลแล้ว ไม่มีชนิดไหนดีไปกว่ากันเพราะให้พลังงานใกล้เคียงกัน ยกเว้นน้ำตาลเทียม
ข้อมูลจาก สภากาชาดไทย

เทคนิคความงามของ "น้ำมันมะพร้าว"

เมื่อพูดถึงมะพร้าวแล้วสาวๆ จะนึกถึงอะไรกันบ้างคะ? บางคนอาจจะนึกถึงหาดทราย สายลม แสงแดด และชายทะเลสักที่หนึ่ง บางคนอาจจะนึกถึงความหอมหวานชื่นใจของน้ำมะพร้าวเย็นๆ สักลูก แต่สาวๆ ทราบหรือไม่คะว่ามะพร้าวกับความงามของผู้หญิงเรานั้น มีความมหัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่มากมาย จนสาวๆ คาดไม่ถึงเลยทีเดียวค่ะ วันนี้เรามาดูสิว่าน้ำมันมะพร้าวที่มองดูแล้วแสนจะธรรมดานั้น จะมีเคล็ดลับความสวยความงามอะไรให้ผู้หญิงเราสบายอารมณ์กันบ้างดีกว่าค่ะ
มะพร้าว เป็นพืชที่ปลูกกันมาอย่างยาวนานในประเทศไทย ได้ขึ้นชื่อว่าต้นไม้สารพัดประโยชน์ต่อชีวิตคนเราหรือ Tree of Life เพราะสามารถนำมะพร้าวมาใช้ได้ทุกส่วน น้ำมันมะพร้าวก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สกัดได้มาจากผลมะพร้าว และสามารถเชื่อมั่นได้เลยว่าปราศจากสารเคมีใดๆ เจือปน เพราะไม่ต้องผ่านกระบวนการเคมีต่างๆ เพื่อทำให้บริสุทธิ์ หรือแม้กระทั่งวิธีการฟอกสี หรือการกำจัดกลิ่นใดๆ ทั้งสิ้น เพราะกรดไขมันในน้ำมันมะพร้าวมีขนาดโมเลกุลที่เล็กมากๆ สามารถดูดซึมใช้ได้อย่างง่ายดาย ทันที และทันใจสาวๆ ในยุคนี้ได้เป็นอย่างดีทีเดียวค่ะ
แล้วน้ำมันมะพร้าวกับความงามของสาวๆ ล่ะเกี่ยวกันยังไง?เกี่ยวกันอย่างแน่นอนเลยทีเดียวค่ะ ซึ่งจะว่าไปแล้วสาวๆ สามารถนำน้ำมันมะพร้าวมาใช้ประทินความงามได้ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้ากันทีเดียว เรามาดูเคล็ดไม่ลับฉบับสบายอารมณ์ ที่ปิดไว้ไม่อยู่ต้องนำมาบอกต่อให้สาวๆ กันเลยดีกว่าค่ะ
ผมงาม กับน้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ทรีทเม้นต์บริสุทธิ์จากธรรมชาติที่สามารถสู้กับทรีทเม้นท์เคมีราคาแสนแพงได้อย่างสบายๆ พร้อมให้สาวๆ ทุกท่านอัศจรรย์ใจได้เพียงการใช้น้ำมันมะพร้าวดูแลเส้นผมในครั้งแรก ซึ่งจะทำให้ผมของเราเงางาม มีน้ำหนัก และแข็งแรงมากขึ้นกว่าเดิมจนรู้สึกได้ เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวมีคุณสมบัติเป็น Moisturizer และสาร antioxidant ที่สามารถแทรกซึมไปสู่เส้นผมได้เป็นอย่างดี จึงเพิ่มความชุ่มชื้นให้เส้นผม และช่วยป้องกันศีรษะล้าน ควบคุมรังแค ลดการสูญเสียโปรตีนของเส้นผมจากการดัดผม การย้อมผมด้วยน้ำยาเคมี แม้กระทั่งการหวีผมที่ใช้หวีที่คม
เคล็ดลับสบายอารมณ์ให้ผมสวยชโลมน้ำมันมะพร้าวให้ทั่วหนังศีรษะให้ นวดเบาๆ บนหนังศีรษะจนน้ำมันแทรกซึมทั่วหนังศีรษะ เส้นผม และปลายผม สาวๆ จะรู้สึกผ่อนคลายไปในตัว พร้อมได้กลิ่นของมะพร้าวอ่อนๆ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที หรือนานเท่าที่ต้องการ แล้วสระออกให้หมด จะรู้สึกว่าเส้นผมนุ่ม สปริงตัว ไม่ลีบแบน เมื่อทำบ่อยๆ จะช่วยลดการเกิดรังแคอีกด้วยค่ะ
สปาผิวสวย ด้วยวิถีธรรมชาติเคล็ดลับย้อนวัยให้ผิวอย่างง่ายๆ ด้วยน้ำมันมะพร้าวนี้ คงจะถูกอกถูกใจสาวๆ ทุกคนนะคะ การทาผิวด้วยน้ำมันมะพร้าวอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้ผิวของเรานั้นนุ่มเนียน ชุ่มชื้น ไม่แห้งกร้าน และดูอ่อนกว่าวัยเป็นพิเศษ เพราะน้ำมันมะพร้าวมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระและมีวิตามิน E ในปริมาณที่สูง จึงช่วยลดการเสื่อมสภาพของผิวทำให้ผิวเต่งตึงไม่เหี่ยวย่น ลดสิว ฝ้า กระ รอยด่างดำต่างๆ และใช้ทำความใบหน้าล้างเครื่องสำอางได้ดี เพราะสามารถซึมทราบผ่านผิวไปชะล้างฝุ่นละอองต่างๆ ออก และป้องกันแสงแดด และไม่เหนียวเหนอะหนะอีกทั้งช่วยเร่งฟื้นฟูอาการบาดเจ็บและติดเชื้อของผิวหนังทุกชนิด ป้องกันการเกิดแผลเป็น หน้าท้องลายอีกด้วยค่ะ
เคล็ดลับสบายอารมณ์ให้ผิวสวยหยดน้ำมันมะพร้าว 2-3 หยด ลงบนสำลีชุบน้ำอุ่นพอหมาดๆ แล้วนำมาทาให้ทั่วบริเวณใบหน้า ทิ้งไว้โดยไม่ต้องล้างออก คราวนี้ผิวหน้าก็ใสเด้งกว่าใคร
หุ่นสวย...สร้างได้ง่ายๆน้ำมันมะพร้าว ไม่ทำให้อ้วนเลยค่ะสาวๆ เพราะเปลี่ยนเป็นพลังงานได้อย่างรวดเร็ว จึงไม่ทำให้ไขมันสะสมในร่างกาย และนอกจากนี้ยังช่วยเร่งอัตราเมตาบอลิซึ่ม กระตุ้นให้ต่อมไทรอยด์ทำงานดีขึ้น จนทำให้เกิดความร้อนสูงมนร่างกาย จนทำให้เกิดการเผาผลาญไขมันอื่นๆ ที่สะสมในร่างกายก่อนหน้านี้ได้อีกด้วยค่ะ เท่านี้ความผอม และการมีสุขภาพดีก็อยู่แค่เอื้อมแล้วล่ะค่ะ
เคล็ดลับสบายอารมณ์ให้หุ่นสวยรับประทานน้ำมันมะพร้าว ก่อนอาหารประมาณ 15 - 20 นาที จำนวน 3 ช้อนโต๊ะ แล้วดื่มน้ำอุ่นตาม 1 แก้ว จะทำให้ไม่หิวง่าย และรู้สึกอิ่ม เมื่อรับประทานเป็นประจำจะทำให้รูปร่างดีขึ้น น้ำหนักลดลง มีภูมิต้านทานหวัดมากขึ้นด้วยค่ะ

หอมด้วยล่ะ
ข้อมูลจาก http://www.sanook.com

เทคนิคเติมความ "สดชื่น"

ร้อนกันไม่เลิกรา ถ้ากลัวว่าความสวยจะละลายไปกับความร้อน ก็อย่าลืมเติมความสดชื่นและความมีชีวิตชีวาให้กับความสวย ด้วย 10 เคล็ดลับง้าย-ง่ายต่อไปนี้
1.จิบชายามเช้า
ปลุกร่างกายคุณทุกเช้าด้วยการดื่มของดี ๆ ที่ไม่ใช่ชาหรือกาแฟแบบดั้งเดิม นั่นก็คือชาสมุนไพรที่หาซื้อได้ตามร้านจำหน่ายสินค้า เพื่อสุขภาพทั่วไป มันจะทำให้คุณสดชื่นและตื่นตัวโดยปราศจากกาเฟอีน และช่วยลดการสะสมของสารพิษในร่างกายด้วย
2.ให้ดวงตาจิบกาเฟอีน
อย่าเพียงแต่จิบกาแฟคนเดียวในยามเช้า ให้ดวงตาของคุณได้รับกาเฟอีนด้วย โดยชงกาแฟแก่ ๆ มาสักถ้วย (ไม่ต้องเติมครีมหรือน้ำตาลหรอกนะ) ทิ้งให้เย็นลงแล้วให้สำลีแผ่นชุบกาแฟวางแปะลงที่ใต้ดวงตา มันจะช่วยกำจัดรอยคล้ำและรอยบวมให้หายไปได้ เพราะกาเฟอีนมีฤทธิ์ในการทำให้หลอดเลือดหดตัว มันจึงทำให้เส้นเลือดที่ใต้ดวงตาหดตัวลงรอยคล้ำใต้ตาจึงจางลง นอกจากนี้ กาแฟยังมีฤทธิ์ในการขับน้ำออกจากร่างกาย ที่ส่งผลในการทำให้รอยบวมใต้ตาลดลงได้ด้วย
3.ใช้บริการก้อนน้ำแข็ง
การใช้ก้อนน้ำแข็งถูทั่วใบหน้าให้ความสดชื่นและช่วยลดอาการบวม นี่เป็นเคล็ดลับที่รู้กันมานานแล้ว แต่ลองเพิ่มน้ำมะนาว และน้ำมันมะกอกสักสองสามหยดลงไปในน้ำแข็งของคุณสักหน่อย กรดซิตริกจากน้ำมะนาวจะช่วยกระชับรูขุมขน ขณะที่น้ำมันมะกอกช่วยให้ความชุมชื้นแก่ผิว


4.ใช้ประโยชน์จากแรงโน้มถ่วง
ลองขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวกันสักหน่อยนะ ถ้าคุณทำเป็น ก็ลองทำท่าสะพานโค้ง ที่จะทำให้เลือดสูบฉีดมายังศีรษะและใบหน้า ทำให้ใบหน้าดูสดใสมีสีเลือดขึ้น แต่ถ้าไม่ใช่นักยิมนาสติก ก็ลองนอนเอาหัวห้อยลงมาด้านข้างเตียง สักสองสามนาทีแทน
5.ผ่อนคลายผิวหน้า
อย่าปล่อยให้กาลเวลาขโมยความชุ่มชื้นจากผิวคุณ เริ่มบำรุงบำเรอผิวกันด้วยสูตรนี้ นมผง 1 ช้อนโต๊ะผสมกับน้ำร้อนคนให้ข้นเหนียว นำมามาส์กหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก จากนั้น นวดใบหน้าเบา ๆ ด้วยครีมทาผิวที่มีส่วนผสมของอะโรมาเพื่อผ่อนคลายผิว และคุณก็ได้สูดดมกลิ่นเพื่อผ่อนคลายจิตใจไปด้วย
6.สดชื่นด้วยช้อน
เทคนิคง่าย ๆ ที่ไม่ควรลืมก็คือการใช้ช้อนสเตนเลสแช่ในช่องแข็งให้เย็นเจี๊ยบ แล้วก็เอามาประคบดวงตาในตอนเช้า มันจะช่วยลดรอยบวม และรอยแดงในดวงตา และคุณก็จะดูสดใสเหมือนนอนมาอย่างเต็มอิ่ม


7.เติมความสดชื่นให้หนังศีรษะ
คนส่วนมากมักสระผมด้วยความรวดเร็ว แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราสามารถสระผมเพื่อความสดชื่นและผ่อนคลายได้ โดยเลือกแชมพูสระผมที่มีกลิ่นหอมสดชื่น ขณะสระผมก็ให้ใช้นิ้วมือนวดหนังศีรษะเบา ๆ ให้ทั่ว เพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนไปทั่วหนังศีรษะ และช่วยผ่อนคลายไปทั่วร่างกาย เส้นผมก็ได้รับการทำความสะอาดอย่างทั่วถึงและไม่พันกันง่าย จากนั้น ล้างแชมพูออกให้สะอาดแล้วตามด้วยครีมนวดผม เสร็จแล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นเพื่อปิดเกล็ดผม เส้นผมก็จะเปล่งประกายเงางาม ใช้น้ำผสมน้ำมะนาวเล็กน้อยล้างผมเป็นครั้งสุดท้ายก็จะยิ่งขึ้น
คุณควรบำรุงเส้นผมอย่างล้ำลึกเป็นครั้งคราว ด้วยการหาเวลาว่างในวันหยุดเพื่อทำทรีตเมนต์ผม วิธีการง่าย ๆ และดีที่สุดคือการใช้น้ำมัน คุณอาจใช้น้ำมันงา น้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันมะกอก และเหยาะน้ำมันหอมระเหยเล็กน้อยเพื่อความผ่อนคลาย ทั้งเส้นผมและจิตใจของคุณ นวดเส้นผมให้ทั่วแล้วใช้ผ้าโพกศีรษะทิ้งไว้ นอนยกเท้าพาดสูง หลับตาและฟังเพลงไพเราะ ปลดปล่อยจิตใจให้เคลิบเคลื้มไปกับเสียงเพลง หรือจะทำตอนกลางคืนแล้วทิ้งไว้ถึงรุ่งเช้าค่อยสระออกก็ได้ เส้นผมจะนุ่มละมุนและมีกลิ่นหอมชื่นใจยามคุณสะบัดผมไปมา จมูกก็ได้สูดดมกลิ่นหอมไปด้วยก็จะทำให้จิตใจชื่นบานต้อนรับวันใหม่
8.ขัดผิว
การนวดร่างกายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าด้วยสครับอุ่น ๆ เป็นขั้นตอนที่เพิ่มความตื่นตัวได้ยิ่งกว่าการดื่มกระทิงแดง และดีต่อสุขภาพมากกว่าด้วย เลือกสครับแบบเกลือ ซึ่งจะมีประโยชน์ในการช่วยดูดซับของเสีย และสารพิษจากผิวได้ด้วย
9.เพิ่มระดับการเผาผลาญพลังงาน
หาเวลาหนึ่งวันที่คุณจะดื่มแต่ของเหลว จะเป็นน้ำเปล่าหรือน้ำผลไม้ก็ได้ และควรเพิ่มเครื่องดื่มสำหรับดีท็อกซ์เข้าไปเป็นระยะ สูตรเครื่องดื่มสำหรับดีท็อกซ์แบบง่าย ๆ ก็คือ น้ำมะนาวหนึ่งผลน้ำเชื่อมเมเปิลหนึ่งช้อนชา ผสมกับน้ำร้อนและใส่พริกป่นฝรั่งลงไปหนึ่งช้อนชา มันจะช่วยเพิ่มระดับการเผาผลาญพลังงาน และทำความสะอาดระบบร่างกายของคุณ


10.เท้าสวยและสดชื่น
เท้าต้องทำงานหนักทั้งวัน ดังนั้น เมื่อกลับถึงบ้านก็ควรแช่เท้าในน้ำอุ่น ที่เหยาะน้ำมันหอมระเหยกลิ่นโรสแมรี่ เพื่อคืนพลังวังชาหรือกลิ่นมินต์เพื่อกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดี จากนั้นก็นวดเท้าด้วยน้ำมันมะกอกอุ่น ๆ กดนวดฝ่าเท้าเบา ๆ เพื่อความผ่อนคลาย จากนั้นใส่ถุงเท้านอนเพื่อให้น้ำมันซึมเข้าผิวเท้าได้ดียิ่งขึ้น
และหลังอาบน้ำทุกวัน ก็ให้ใช้ผลิตภัณฑ์ขัดผิวเท้าเพื่อขจัดผิวที่ตายด้านให้หลุดลอกออกไป จะช่วยให้เท้านุ่มละมุน หรือขณะอาบน้ำให้ใช้เกลือทะเลหนึ่งกำมือ ผสมกับน้ำมันมะกอกขัดเท้าเพื่อลอกเอาเซลล์ผิว ที่ตายด้านออก หรือใช้ส่วนผสมต่อไปนี้เพื่อดูแลผิวที่แห้งและตายด้าน สิ่งที่คุณต้องการคือน้ำผึ้ง 5 ช้อนโต๊ะ กับน้ำมะนาว 3 ช้อนโต๊ะ นำน้ำผึ้งใส่ถ้วยแช่ในน้ำอุ่น จากนั้น ใส่น้ำมะนาวลงไปคนให้เข้ากัน แล้วใช้ส่วนผสมนี้ ทาบริเวณที่ผิวตายด้าน เช่น เข่า หลังเท้า นิ้วเท้า และฝ่าเท้า ทิ้งไว้ 30 นาที จากนั้น ล้างออกด้วยน้ำ

ข้อมูลจาก Lisa

วิธีป้องกัน"สิว" วัยผู้ใหญ่

ในยุคนี้สิวในวัยผู้ใหญ่เป็นอะไรที่เราเห็นกันบ่อย ๆ นั่นเป็นเพราะการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปจากเดิม รวมถึงอาหารการกิน ความเครียด และการเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน แต่เราก็มีวิธีง่าย ๆ ในการป้องกันมาบอกคุณแล้ว
หยุดสูบบุหรี่ : ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงที่สูบบุหรี่ 42% มีแนวโน้มจะเป็นสิวได้ง่ายกว่าผู้หญิงที่ไม่สูบบุหรี่
หาเวลาผ่อนคลาย : ความเครียดคือตัวการที่ทำให้สิวขึ้นและหายช้า ฉะนั้นก็หาเวลาไปเดินเล่นนอกบ้านบ้าง นอนแช่น้ำนานๆ ให้รู้สึกผ่อนคลาย หรือเข้านอนแต่หัววันเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์
เติมกรดไขมันโอเมก้า 3 : ซึ่งพบมากในน้ำมันปลา ไข่ ธัญพืช และน้ำมันมะกอก ซึ่งจะช่วยลดอาการอักเสบ ทำความสะอาดลำไส้ และช่วยให้ระดับฮอร์โมนในร่างกายเกิดความสมดุล
ข้อมูลจากLisa

เทคนิคเลือก"แป้ง"ให้เหมาะสม

จริงหรือไม่... ถ้าสาว ๆ อยากจะแต่งหน้าสวย ๆ ต้องตื่นนอนตั้งแต่ไก่โห่มาเพื่อลงแป้ง ตามด้วยการแต่งหน้าตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่กินเวลานานโข... วันนี้เราขอตอบเลยค่ะว่า “ไม่จริง” เพราะเพียงแค่คุณสาว ๆ เลือกแป้งแต่งหน้าให้เหมาะสมตามความต้องการ ก็สามารถประหยัดเวลาในการแต่งหน้าได้ดีทีเดียว
ว่าแล้ว เรามาทำความรู้จักกับแป้งแต่งหน้าแบบต่าง ๆ กันก่อนเลยดีกว่า เพื่อใช้เป็นตัวเลือกในการตัดสินใจของคุณ ในการเลือกใช้ให้เหมาะสมตามความต้องการค่ะ ทั้งนี้ แป้งที่ใช้แต่งหน้า มีทั้งแบบที่เป็นแป้งฝุ่น แป้งแข็ง และแป้งทูเวย์ ซึ่งแต่ละแบบจะมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน คือ
แป้งฝุ่น คือ แป้งชนิดที่มีเนื้อละเอียดบางเบา เหมือนฝุ่นละอองเล็ก ๆ เหมาะสำหรับทาทับลงบนผิวหน้าหลังจากการรองพื้น หรือทาคอนซีลเลอร์ไว้ ทั้งนี้ แป้งฝุ่น มีคุณสมบัติช่วยให้ผิวดูนวลเนียนเป็นธรรมชาติ และช่วยดูดซับความมันบนใบหน้าหลังการแต่งหน้าได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม คุณสาว ๆ ควรเลือกใช้แป้งฝุ่นที่มีสีเดียวกันกับสีผิวของตัวเอง
แป้งแข็ง คือ แป้งฝุ่นเนื้อละเอียดบางเบา เหมือนฝุ่นละอองเล็ก ๆ เช่นเดียวกัน แต่ถูกอัดแข็งลงไปในตลับแป้ง เพื่อความสะดวกในการพกพา มีคุณสมบัติช่วยให้ผิวคุณดูเนียนเรียบ และทำให้รองพื้นที่ลงไว้ติดทนนาน และทำให้การแต่งหน้าดูสวยสมบูณร์แบบยิ่งขึ้น และควรเลือกสีแป้งให้มีสีที่ใกล้เคียงกับสีผิวของคุณมากที่สุด เพื่อไม่ให้ดูหลอกตา และหน้าลอยเกินไป เวลาที่ใช้ค่ะ
ปิดท้ายกันที่ แป้งทูเวย์ คือ แป้งฝุ่นอัดแข็งที่มีส่วนผสมของครีมรองพื้น เพื่อช่วยเพิ่มความสะดวกและประหยัดเวลา ที่แสนเร่งรีบของคุณ เพราะแป้งทูเวย์สามารถทาได้โดยไม่ต้องทำการรองพื้นก่อน และยังมีส่วนผสมพิเศษเช่นเดียวกับครีมรองพื้น มีคุณสมบัติช่วยให้การแต่งหน้าติดทนนาน นวลเนียนใสเด้ง สามารถปกปิดริ้วรอยได้ดี แต่อาจจะมีปัญหาหน้ามันง่าย คุณควรพกกระดาษซับหน้ามันติดกระเป๋าไว้ด้วย เพื่อรักษาความสวยไว้ได้ตลอดทั้งวันค่ะ
เอาล่ะ!! รู้อย่างนี้แล้ว ก็เลือกใช้เลือกช้อปให้เหมาะสมกับความต้องการของคุณได้เลยค่ะ อย่างไรก็ตาม แป้งที่ดี ควรมีเนื้อละเอียดบางเบา เมื่อทาลงบนผิวหน้าแล้ว จะต้องไม่รู้สึกหยาบหรือเป็นคราบเกาะบนผิวหน้า เวลาเลือกซื้อ ควรทดลองทาลงบนใบหน้าจริง ๆ เพื่อดูโทนสีของแป้งที่เหมาะกับผิวหน้าจริงของเราด้วยค่ะ

ข้อมูลจาก http://www.kapook.com/

วิธีแก้ปัญหา "ผมแห้ง"

ปัญหาผมแห้ง มักจะเป็นปัญหาเส้นผมที่สาว ๆ ส่วนใหญ่กำลังเผชิญหน้ากับมันอยู่ในขณะนี้ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่ก็มาจากการใช้ความร้อนจัดแต่งทรงผมในแต่ละวัน การดัด ย้อม ยืด ทำสี หรือแม้แต่การเผชิญกับมลภาวะในแต่ละวันก็ทำให้ผมแห้งเสียได้ไม่แพ้กันค่ะ
แต่ไม่ว่าผมของคุณจะแห้งด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม วันนี้กระปุกดอทคอมจะขอนำเคล็ดลับดี ๆ สำหรับการดูแลปรนนิบัติผมแห้งแตกปลายมาฝากกัน ด้วยสารพัดวิธีที่จะทำให้ผมคุณกลับมานุ่มสลวยและมีน้ำหนักอีกครั้ง เอาล่ะค่ะ ว่าแล้วก็ไปติดตามพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า
1. เริ่มจากการเลือกใช้แชมพู หากคุณคิดว่าแชมพูแรง ๆ จะฟื้นฟูผมแห้งเสียได้อย่างรวดเร็ว นี่เห็นจะเป็นความเชื่อที่ผิด ๆ แล้วล่ะค่ะ เพราะนั่นเป็นการซ้ำเติมผมคุณให้แห้งยิ่งกว่าเดิมเสียอีก ดังนั้นสาว ๆ ฟังทางนี้ค่ะ จริง ๆ แล้ว แชมพูสำหรับผมแห้งนั้นควรเป็นแชมพูสูตรธรรมดาถึงอ่อนโยนมากกว่า เพราะการสระผมเป็นขั้นตอนของการทำความสะอาดผม ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องใช้แชมพูแรง ๆ เพื่อบำรุงเลยค่ะ
2. เลือกใช้คอนดิชันเนอร์ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผม คอนดิชันเนอร์ถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญของการบำรุงผมเลยทีเดียวค่ะ สำหรับสาว ๆ ที่ผมแห้งนั้น แนะนำให้ใช้คอนดิชันเนอร์ที่มีส่วนผสมของไข่ หรือน้ำมันมะกอก นวดลงบนศีรษะหลังสระผม แล้วทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีก่อนล้างออก
3. ควรล้างผมให้สะอาดทุกครั้ง มีสาว ๆ ไม่น้อยที่เชื่อว่า การล้างผมหลังนวดด้วยคอนดิชันเนอร์ ไม่ต้องพิถีพิถันกับมันมากก็ได้ ปล่อยให้คอนดิชันเนอร์ที่ติดค้างอยู่บำรุงผมต่อไปก็ไม่เสียหาย อ๊ะ ๆ นี่เป็นความเชื่อหนึ่งที่ผิดถนัดเลยนะคะ เพราะคอนดิชันเนอร์ที่ตกค้างอยู่ อาจทำให้ผมเสียและร่วงได้ง่าย ๆ เลยล่ะ ดังนั้น สาว ๆ จึงควรล้างผมจนแน่ใจว่าสะอาดจริง ๆ โดยเฉพาะหลังจากนวดด้วยคอนดิชันเนอร์ที่ล้างออกยากนี่แหละค่ะ
4. ใช้เซรั่มบำรุงผม คุณสามารถเลือกใช้เซรั่มหรือทรีทเม้นท์หลังจากสระผมแล้ว ด้วยผลิตภัณฑ์ที่แก้ปัญหาเส้นผมโดยตรง อย่างหากผมคุณแห้งเพราะทำสี ก็ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่บำรุงผมเสียจากการทำสีโดยเฉพาะ แต่หากเป็นเพราะความร้อน อาจจะใช้สูตรเพิ่มความเงางามและมีน้ำหนักให้กับเส้นผมก็ได้
5. หมักผมด้วยน้ำมันมะกอก หรือน้ำมันงา อย่างสม่ำเสมอ โดยหมักก่อนคุณสระผมประมาณครึ่งชั่วโมง เพื่อให้น้ำมันงาและน้ำมันมะกอกซึมซาบเข้าบำรุงผมภายในค่ะ
6. อบไอน้ำ หรือ ทำทรีทเม้นท์ ให้ได้สัปดาห์ละ 2 ครั้ง แต่สำหรับสาว ๆ ที่ผมอ่อนแอ การอบไอน้ำอาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนักนะคะ เพราะเป็นวิธีที่ต้องใช้ความร้อน ดังนั้นแนะนำให้ทำทรีทเม้นท์ก็พอค่ะ หรือก็คือการหมักผมด้วยสมุนไพรและอาหารผมเข้มข้นนั่นแหละ
7. เลี่ยงการเป่าผมด้วยไดร์ เพราะอย่างที่บอกว่าความร้อนมักจะทำลายเส้นผมมากกว่าบำรุงผมเสียอีก ควรปล่อยให้ผมแห้งเอง หรือเป่าด้วยลมเย็นหรือพัดลมดีกว่าค่ะ
8. หลีกเลี่ยงแสงแดด หรือเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ลิฟออนที่ปกป้องผมจากแสงแดด เพราะแสงแดดก็มีส่วนทำให้ผมแห้งเสียได้ไม่น้อยเลยทีเดียวนะ
9. เลือกรับประทานอาหาร ที่อุดมไปด้วยวิตามิน โปรตีน เหล็ก สังกะสี และโอเมก้า 3 เช่น ผักใบเขียว ถั่ว ไข่ แซลมอน เพราะอาหารเหล่านี้มีประโยชน์ต่อเส้นผม ทำให้สุขภาพผมดีจากภายในค่ะ
10. เลือกใช้ทรีทเม้นท์ง่าย ๆ จากธรรมชาติ สลับกับการบำรุงผมด้วยผลิตภัณฑ์ในแต่ละวัน เช่น การหมักผมด้วยไข่แดง ว่านหางจระเข้ หรือกล้วยน้ำว้าบด เพราะวัตถุดิบจากธรรมชาติเหล่านี้ช่วยให้ผมดูสุขภาพดี มีน้ำหนักได้อย่างได้ผลเลยล่ะค่ะ
จาก 10 วิธีดังกล่าว สาว ๆ ควรทำให้ได้ทุกข้อนะคะ เพียงแค่คุณเจียดเวลามาดูแลเส้นผมของตัวเองวันละนิด เพื่อสุขภาพผมที่ดีอย่างแท้จริง และที่สำคัญ ไม่ว่าคุณจะบำรุงผมจนกลับมามีสุขภาพดีแล้ว ก็ควรดูแลผมอย่างต่อเนื่อง เพื่อผมสวยยาวนานค่ะ

ข้อมูลจาก http://www.kapook.com/

หน้าใส"ไร้สิ" ใน 30 วัน

เพราะเรื่องสิวไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่สาว ๆ หลายคนจะเป็นกังวลทุกครั้งที่มีสิวขึ้นบนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นสิวผด สิวหัวดำ สิวอักเสบ หรือสิวเม็ดเล็ก ๆ ก็ตาม เจ้าสิวพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ไม่มีใครปรารถนาให้มันเกิดขึ้นบนใบหน้าทั้งนั้น
เอ? แต่ถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว จะจัดการยังไงให้หายขาดแล้วไม่ผุดขึ้นมาอีกดี วันนี้กระปุกดอทคอมจะขอเอาใจสาว ๆ ที่กำลังเผชิญปัญหานี้อยู่ ให้คุณเป็นสาวหน้าใสไร้สิวให้ได้ภายใน 30 วันค่ะ ไปดูกันว่าต้องทำอะไรกันบ้าง
1. ปรับเปลี่ยนอาหารการกิน แม้จะรู้กันดีว่าของหวาน ๆ มัน ๆ มักจะทำให้เกิดสิวได้ง่าย แต่สาว ๆ ก็ห้ามใจไม่อยู่ทุกทีไปซะนี่ นี่แหละค่ะพฤติกรรมอย่างแรกที่ควรปรับเปลี่ยนเลย สำหรับสาว ๆ ทั้งหลายที่เป็นสิวอยู่ควรหลีกเลี่ยงของมันทุกชนิด แล้วเปลี่ยนมาทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อผิว อย่างผัก ผลไม้ ที่มีแอนตี้อ็อกซิแดนท์ สำคัญสำหรับช่วงฟื้นฟูผิวมาก ๆ เลยล่ะค่ะ
2. ยิ้มเพื่อหน้าใส แน่นอนว่าการหมั่นทำอารมณ์ให้ดีอยู่เสมอ มองโลกในแง่ดี จะช่วยลดความเครียดที่เป็นสาเหตุหนึ่งของการเกิดสิวได้ ดังนั้นหันมายิ้มกันนะจ๊ะสาว ๆ เพราะนอกจากจะทำให้สิวขึ้นได้ยากแล้ว อารมณ์ที่ดียังทำให้หน้าไม่แก่ก่อนวัยอีกด้วยนะ
3. อย่าขัดหน้าบ่อยเกินไป แม้ว่าการขัดหน้าหรือสครับผิวหน้าจะทำให้คุณรู้สึกได้ถึงความสะอาดของผิวก็ตามที แต่การขัดหน้าบ่อย ๆ นั้นจะไปกระตุ้นให้ผิวผลิตความมันออกมามากขึ้น และทำให้เกิดสิวได้ง่าย ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการขัดผิวบ่อยเกินไป ความถี่ของการสครับผิวที่เหมาะสมอยู่ที่สัปดาห์ละ 2 ครั้งเท่านั้นค่ะสาว ๆ
4. ทรีทเม้นท์ผิวหน้า เพื่อฟื้นฟูและบำรุงไปพร้อม ๆ กัน อ๊ะ ๆ อย่าคิดว่ากำลังแนะนำให้สาว ๆ ไปทำทรีทเม้นท์ราคาแพง ๆ นะคะ เพราะนั่นไม่จำเป็นเลยค่ะ ทรีทเม้นท์นั้นสามารถทำได้ง่าย ๆ ที่บ้าน เช่น การพอกหน้าด้วยไข่ขาว หรือดินสอพองผสมมะนาว แค่นี้ก็ถือว่าเป็นทรีทเม้นท์ได้แล้วล่ะค่ะ แต่อย่าลืมล้างหน้าให้สะอาดหลังพอกหน้าทุกครั้งนะคะ
5. นวดหน้าด้วยน้ำมัน การนวดหน้าด้วยน้ำมันฟังแล้วเหมือนจะเป็นวิธีที่ทำให้เกิดสิว แต่ความจริงไม่ใช่เลยค่ะ การนวดหน้าด้วยน้ำมันนั้นจะทำให้ผิวหน้าได้ผ่อนคลาย ซึ่งน้ำมันที่ใช้ในการนวดหน้านั้น ได้แก่ น้ำมันลาเวนเดอร์ หรือ เป๊ปเปอร์มินท์ค่ะ
6. ทำความสะอาดรูขุมขนด้วยไอน้ำ สัปดาห์ละ 2 ครั้ง ซึ่งวิธีการก็ทำได้ง่าย ๆ ค่ะ เพียงนำน้ำเดือดมาตั้งแล้วยื่นหน้าให้ไอน้ำทำความสะอาดใบหน้าคุณ ไอน้ำจะช่วยเปิดรูขุมขนให้สิ่งสกปรกที่ตกค้างหลุดออกมาค่ะ
และนี่ก็เป็นเคล็ดไม่ลับ แถมยังทำได้อย่างง่าย ๆ เพียงแค่คุณหันมาใส่ใจกับใบหน้าตัวเองสักนิด แล้วเพิ่มการปรนนิบัติผิวหน้าเข้าไปอีกหน่อย เพียงเท่านี้ คุณก็กลายเป็นสาวหน้าใสไร้สิว พร้อมจะเผยผิวใสอย่างมั่นใจได้แล้วล่ะค่ะ

ข้อมูลจาก http://www.kapook.com

เทคนิคดีไซน์ "เดรส"

เดรสปักเลื่อม เบรกความเซ็กซี่ด้วยการนำเสื้อเชิ้ตมาสวมทับคลุมอีกชั้น แล้วหารองเท้าบู๊ตคัตเก๋ๆ สักคู่มาใส่เพิ่มเข้าไป
เดรสตอกหมุด ลองสวมเสื้อยืดหรือเชิ้ตสีขาวไว้ด้านใน แล้วอาจจะคลุมด้วยแจ็กเก็ตน่ารักซ้อนอีกชั้นก็ได้
เดรสไหล่เดี่ยว ความหรูของเดรสไหล่เดี่ยวเมื่อถูกสวมทับด้วยเสื้อกั๊กผ้ายีนส์ก็เปลี่ยนเป็นความร็อกแสบซ่าขึ้นได้ทันที
เดรสสายเดี่ยว แจ็กเก็ตยีนส์กับเข็มขัดคาดเอวสักเส้นก็พร้อมซิ่งใส่ไปทำงานได้แล้ว
เดรสไหล่ตั้ง ลดดีกรีความแรงของโครงสร้างไหล่ด้วยการสวมเสื้อกล้ามและกั๊กยีนส์ซ้อนทับกันสองชั้น เพื่อความคล่องตัวในวันหยุดหน้าร้อน

ข้อมูลจาก Lisa

เทคนิค "ไฮไลต์" เสริมดวงตา

เพื่อเสริมให้ดวงตาดูเด่นขึ้นอย่างแท้จริงพิจารณาจุดเด่นและข้อบกพร่องของ ดวงตาให้ดี และใช้ไฮไลต์เพื่อเสริมจุดเด่นและพรางจุดด้อยของคุณ วันนี้เรามีวิธีไฮไลต์เสริมดวงตาคู่สวย มาฝากกัน
ตาห่าง ทาที่กึ่งกลางรอยพับเปลือกตาเล็กน้อย มันจะส่องประกายแวบขึ้นมาในยามกระพริบตา
ตาชิด ทาไฮไลต์ที่หางตา เริ่มจากขอบนอกของลูกตาดำเกลี่ยออกไปข้างนอก เพื่อสร้างเอฟเฟ็กต์ที่ทำให้ดูตาห่างกัน
เปลือกตาหนาหรือบวม แทนที่จะไฮไลต์ที่เปลือกตาและทำให้มันดูบวมขึ้นไปอีก ทาที่ใต้โค้งคิ้วเล็กน้อย เพื่อสร้างสมดุล
เปลือกตาเล็ก ทาชิมเมอร์ทั่วเปลือกตา จะทำให้เปลือกตาดูเต็มอิ่มขึ้น
เปลือกตาแบน เปลือกตาที่ไม่มีรอยพับเห็นชัดเจนจะดูดีขึ้น ถ้าทาไฮไลต์ที่หัวตา (หนึ่งในสามของเปลือกตา) แล้วเกลี่ยขึ้นข้างบนหาโหนกคิ้ว


ข้อมูลจากLisa

เคล็ดลับการใส่เสื้อสี "ชมพู"

เริ่มจากการเลือกเนื้อผ้าให้เข้ากับโอกาสในการใส่ อย่างเช่น ผ้าซาตินสีชมพูก็ควรไว้สำหรับไปงานราตรีแต่ถ้าอยากแต่งตัวดูย้อนยุคนิด ๆ ควรเลือกผ้าเนื้อหนาขึ้นมาเล็กน้อย เช่น ผ้าคอตตอน หรือ ผ้าเสิร์ต
สาวผมสีอ่อนควรเลือกใส่สีชมพูนีออน หรือสีเฉดนุ่มนวลเล็กน้อย แต่สำหรับสาวผิวสีเข้มควรใส่สีชมพูอมแดงเพื่อทำให้ผิวดูสว่างขึ้น
อย่าใส่สีชมพูทั้งท่อนบนและท่อนล่าง ให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ถ้าใส่เสื้อสีชมพูก็ใส่กระโปรงสีอื่น หรือถ้าเลือกใส่รองเท้าสีชมพูก็ไม่ควรสะพายกระเป๋าสีชมพูด้วยเป็นอันขาด
ถ้าความอ่อนหวานของสีชมพูทำให้คุณดูเหมือนเด็กหญิงตัวน้อย ๆ ละก็ ลองเพิ่มความแข็งแกร่งให้ชุดด้วยเสื้อแจ็กเก็ตตอกหมุด หรือรองเท้าบู๊ทแนวทหาร ได้ลุคที่ดูเก๋ไปอีกแบบ

ข้อมูลจากLisa

เทคนิคเลือก"สีทาเล็บ" ให้เหมาะกับสีผิว

สาว ๆ ที่ชอบทาเล็บทั้งหลายไม่ควรพลาด เพราะวันนี้เรามีเคล็ดลับดี ๆ ในการเลือกสีทาเล็บให้เหมาะกับสีผิวของคุณมาฝาก จะได้หมดปัญหา... ทาสีไหนก็ดูไม่สวยสักที ทั้ง ๆ ที่สีบางสีพออยู่บนเล็บของคนอื่นนะสวยมาก ๆ แต่เมื่ออยู่บนเล็บเรา กลับดูหมอง ไม่สวยเจิดจรัสซะอย่างนั้น!! ว่าแล้วเราไปดูพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า...
หากคุณเป็นสาวที่มีสีผิวขาวอมชมพู สีทาเล็บที่ควรเลือกคือ สีชมพูอมม่วง สีชมพูอมน้ำตาล หรือสีโทนอ่อน เพราะจะช่วยทำให้คุณดูเป็นสาวหวานยิ่งขึ้น
หากคุณเป็นสาวที่มีสีผิวขาวอมเหลือง สีทาเล็บที่ควรเลือกคือ สีน้ำตาลทองสว่าง ๆ สีชมพูอมส้ม หรือสีสด ๆ จะทำให้มือคุณดูสดใส ไม่ซีดเซียว และดูน่ามองเป็นที่สุด
หากคุณเป็นสาวที่มีสีผิวคล้ำอมเหลือง สีทาเล็บที่ควรเลือกคือ สีแดงสด สีน้ำตาลทองเข้ม หรือสีทอง เพราะจะช่วยขับสีผิวของคุณให้ดูสว่างขึ้น และดูอบอุ่น น่าค้นหา
หากคุณเป็นสาวที่มีสีผิวคล้ำหรือดำแดง สีทาเล็บที่ควรเลือกคือ สีแดงเข้ม สีชมพูเข้ม หรือเลือกใช้สีโทนเข้ม เพราะจะช่วยขับลุคทำให้คุณดูเป็นสาวที่มีความมั่นใจในตัวเอง และไม่ดูหลอกตาค่ะ
ข้อมูลจากkapook.com

เคล็ดลับการเลือก"ตุ้มหู" ให้เข้ากับ"ใบหน้า"

แอสเซสเซอรี่อย่างหนึ่งที่สาว ๆ ขาดไม่ได้เลย เห็นจะเป็น ต่างหู ที่เวลาไปไหนมาไหนเป็นต้องใส่เครื่องประดับชิ้นนี้ติดตัว (หู) ตลอดเวลา ก็แหม... ของสวย ๆ งาม ๆ ก็ต้องคู่กับสาว ๆ ที่รักสวยรักงามจริงไหมล่ะคะ อย่างไรก็ตาม ต่างหูแฟชั่น ในปัจจุบันนั้นมีให้เลือกมากมายหลากแบบหลายสไตล์ ทั้งแบบหมุด แบบห่วง แบบที่เป็นแป้น แบบเป็นพวงระย้า โอ้ย... พูดไปวันนี้ก็คงบรรยายไม่หมด เพราะมีหลายแบบมาก ๆ แต่... จะเลือก ต่างหูแฟชั่น อย่างไรให้เข้ากับใบหน้าของเรา วันนี้เรามีเคล็ดลับดี ๆ ในการเลือก ต่างหู ให้เข้ากับใบหน้ามาฝาก ว่าแล้วเราไปดูพร้อม ๆ กันเลยดีกว่าค่ะ...
หากคุณเป็นสาวหน้ากลม ควรเลือกใส่ต่างหูยาว ๆ ในแนวดิ่ง หรือเป็นแบบพวงระย้า เพื่อเพิ่มความยาวให้กับใบหน้า หลีกเลี่ยงต่างหูที่มีลักษณะกลม ๆ เด็ดขาด เพราะจะยิ่งทำให้ใบหน้าคุณดูกลมยิ่งขึ้นค่ะ (ขืนใส่ไป โดนล้อว่าหน้าซาละเปาแหงม ๆ)
หากคุณเป็นสาวที่มีใบหน้าเหลี่ยม ควรเลือกใส่ต่างหูที่มีลักษณะกลมมน หรือต่างหูที่เป็นแบบแป้นกลม ๆ ใหญ่ ๆ ที่ใส่ติดติ่งหู จะช่วยลดความเหลี่ยมบนใบหน้าของคุณได้ค่ะ หลีกเลี่ยงต่างหูที่มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยม หรือมีเหลี่ยมเยอะ เพราะจะยิ่งเน้นให้คุณดูหน้าเหลี่ยมมากขึ้น
หากคุณเป็นสาวที่มีใบหน้ายาว ควรเลือกใส่ต่างหูทรงกลมมนเพื่อทำให้ใบหน้าดูสมส่วนมากขึ้น หรือเลือกใส่ต่างหูที่มีตุ้มห้อยเล็ก ๆ เพื่อลดความยาวของใบหน้า หลีกเลี่ยงต่างหูแบบห้อยระย้า หรือแบบเป็นพวงยาว ๆ เพราะมันจะเน้นหน้าของคุณให้ยาวขึ้น
สำหรับสาวที่มีใบหน้ารูปไข่ ถือว่าโชคดีสุด ๆ เลยล่ะค่ะ เพราะจะเลือกใส่ ต่างหู แบบไหน ก็ดูดี ก็สวยไปซะหมด เพียงแค่เลือกใส่ให้เหมาะสมกับโอกาส เท่านี้ก็สวยไม่มีใครเกินแล้ว ฮ่า ๆ
ข้อมูลจาก kapook.com

เทคนิคเลือก "มาสคาร่า"

การแต่งหน้าให้สวยครบสมบูรณ์แบบนั้น นอกจากรองพื้น แป้ง ฝุ่น อายแชโดว์ บลัชออน อีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญสำหรับสาว ๆชนิดที่ว่าขาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง ต้องยกให้กับมาสคาร่าเลยค่ะ เพราะมาสคาร่าจะช่วยเนรมิตความสวยคมอย่างมีมิติชวนหลงใหลให้กับสาว ๆ ได้อย่าง น่าทึ่งมาก ๆ เลยค่ะ..
มาสคาร่าที่มีส่วนผสมของพลาสติกโพลิเมอร์ แปรงปัดมีขนทึบสั้น ทำให้เนื้อมาสคาร่าติดกับขนตาบนได้ดีขึ้น และทำให้ขนตาของสาว ๆ ยาวขึ้น ประมาณ 2-3 มิลลิเมตรค่ะ
มาสคาร่าที่มีส่วนผสมของขี้ผึ้งและซิลิโคนโพลิเมอร์ เหมาะสำหรับสาวที่ขนตาน้อยค่ะ เพราะจะช่วยเคลือบขนตา เพิ่มน้ำหนักและความหนาเป็นแพสวย ทำให้ขนตาดูหนาขึ้นอย่างสวงาม
มาสคาร่าที่มีส่วนผสมของโพลิเมอร์ เหมาะสำหรับสาวผิวคล้ำหรือผิวสีน้ำผึ้ง เพราะจะทำให้ขนตางอนงาม ปัดแค่เพียงครั้งเดียวก็อยู่ตัว แต่สำหรับสาวที่มีขนตาสั้นและตรงมากอย่างสาวหมวย หากใช้มาสคาร่าชนิดนี้คงไม่งอนสวยเหมือนกับสาว ๆโทนผิวคล้ำค่ะ
มาสคาร่าแบบกันน้ำ เหมาะสำหรับสาวๆที่ชอบทำกิจกรรมทางน้ำ ไม่ว่าจะเป็นกีฬาทางน้ำ สงกรานต์ หรือสำหรับสาวๆที่ชอบท่องเที่ยวทะเล น้ำตก ควรเลือกใช้มาสคาร่าชนิดนี้ แต่ถึงไม่มีอะไรเกี่ยวกับกีฬาทางน้ำ หน้าฝนแบบนี้สาว ๆ ก็ควรใช้มาสคาร่าแบบกันน้ำเป็นอย่างมาก เพราะจะมีคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยกันน้ำและรอยเปื้อนได้เป็นอย่างดีค่ะ

ข้อมูลจากWoman's Story

10 ตัวช่วยในการ"ไดเอท"

สาว ๆ ที่ปรารถนาอยากมีหุ่นเฟิร์มกระชับ คงกำลังคิดไม่ตกอยู่ใช่ไหมว่า จะลดน้ำหนักด้วยวิธีไหนดี ที่ไม่ทรมาน และได้ผลเร็วมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการลดปริมาณอาหารเอย เล่นโยคะเอย หรือเผาผลาญด้วยซาวน่าเอย แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน ก็ดูเหมือนจะทำได้ไม่ง่ายเลยล่ะ วันนี้กระปุกดอทคอมก็เลยมีตัวช่วยในการไดเอท ที่จะทำให้คุณลดน้ำหนักได้ตามเป้าหมาย แถมไม่ทรมานอีกด้วยนะ ว่าแล้วก็ไปดูกันเลยค่ะ
1. รูปเก่า ๆ เล่าอดีต
ลองหารูปเก่า ๆ สมัยที่คุณยังสวยผอมเพรียว มาแปะติดบริเวณรอบ ๆ ตัวคุณ ไม่ว่าจะเป็นบนโต๊ะทำงาน หน้าตู้เย็น โต๊ะกินข้าว หรือหน้าทีวี รูปคุณในครั้งอดีตจะช่วยทำให้คุณมีกำลังใจในการลดน้ำหนักมากขึ้น พร้อมทั้งยังเป็นตัวช่วยเบรคคุณ เวลาที่จะหยิบขนมขบเขี้ยวมาทานอีกด้วยค่ะ
2. ทานอาหารนอกบ้าน ไม่อ้วนนะ
สาว ๆ หลายคนมักจะคิดว่า ช่วงไดเอทเป็นช่วงที่ควรจะหลีกเลี่ยงอาหารนอกบ้านมากที่สุด เพราะไม่รู้ว่าส่วนประกอบของอาหารแต่ละอย่างนั้น เป็นตัวการที่ช่วยเพิ่มไขมันส่วนเกินเข้าไปอีกหรือเปล่า โอ้โห ไม่ต้องเคร่งครัดขนาดนั้นหรอกค่ะ ใครบอกว่าเวลาไปทานอาหารนอกบ้าน เราจะเลือกปริมาณหรือส่วนประกอบของอาหารไม่ได้ ระบุไปเลยค่ะว่ามื้อนี้ของคุณไม่ใส่อะไรบ้าง และอาจบอกให้เสิร์ฟในปริมาณที่น้อย ๆ ก็ยังได้ รับรองว่าไม่มีร้านไหนจะมีปัญหาแน่นอนค่ะ ดีซะอีกที่พ่อครัวจะได้ไม่เปลืองวัตถุดิบในการทำอาหาร แถมยังขายได้ในราคาเท่าเดิมอีก งานนี้ร้านอาหารยิ้มเลยทีเดียว
3. Pedometer หรือเครื่องนับก้าวเดิน
เครื่องนี้เป็นตัวช่วยที่ดีมาก ๆ ในการนับจำนวนแคลอรีที่คุณใช้ไปในแต่ละช่วงเวลา เพียงแค่เหน็บไว้ที่เอว จะทำให้คุณรู้จำนวนพลังงานที่ใช้ไปได้ และมันจะทำให้คุณอยากจะเผาผลาญพลังงานมากขึ้นอีกด้วย เอ้า ลองดูสิ
4. ทานอาหารด้วยภาชนะขนาดเล็ก
เพราะคนเรามักจะคิดว่า อาหารจานเดียว ไม่ว่าจะจานเล็กจานใหญ่ แต่ถ้าทานแค่จานเดียว นั่นคือปริมาณที่พออิ่มแล้ว ดังนั้น ควรอย่างยิ่งค่ะที่จะใช้ภาชนะเล็กบรรจุอาหาร เพราะทุกครั้งที่คุณรู้สึกอยากจะทานเป็นจานที่สอง คุณจะรู้สึกลังเลและรู้สึกว่ากำลังจะทานมากเกินไป สุดท้ายคุณก็จะหยุดทานจนได้ล่ะ
5. ฟาสต์ฟู้ดแคลอรี่ต่ำ
ช่วงไดเอทจะเป็นช่วงเวลาที่ทรมานที่สุด หากคุณลดละเลิกทุกอย่างไปทานอาหารเพื่อลดน้ำหนัก แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ดีเลยนะคะ เพราะถึงเวลาที่คุณตบะแตกขึ้นมา คุณก็จะทานอาหารสุดโปรดที่อุดมไปด้วยแคลอรี่อย่างไม่ยั้งเลยทีเดียว ดังนั้น ในแต่ละวัน ให้คุณให้รางวัลตัวเองได้ด้วยการทานฟาสต์ฟู้ดที่ชอบสัก 1 อย่าง แต่ต้องเป็นในปริมาณน้อย และทานช่วงกลางวันนะจ๊ะ
6. นม
นมเป็นสุดยอดเครื่องดื่มที่คนที่กำลังลดหุ่นควรดื่ม เพราะนอกจากจะมีประโยชน์ต่อร่างกายแล้ว ยังทำให้คุณอิ่มได้อีกด้วย ดังนั้นเวลาที่คุณรู้สึกหิวระหว่างมื้อ ลองดื่มนมซักแก้ว รับรองว่าจะทำให้คุณหายอยากอาหารชนิดอื่นไปพักหนึ่งเลยทีเดียว
7. บันทึกการทานประจำวัน
หรือ diet diary นั่นเอง เพื่อให้ปริมาณอาหาร หรือรายการอาหารที่ทานในแต่ละวันนั้นคงที่ รวมถึงมันจะช่วยปรับวินัยในการทานอาหารของคุณได้อีกด้วย
8. ให้รางวัลตัวเอง
อ๊ะ ๆ ไม่ได้หมายถึงการให้รางวัลตัวเองด้วยการกินไม่ยั้งทุก ๆ ครั้งที่น้ำหนักลง 1 กิโลกรัมหรอกนะคะ แต่เป็นการพาตัวเองไปทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ อย่างการเดินห้าง ชอปปิ้งซื้อของเพลิน ๆ หรือดูหนังฟังเพลงซะหน่อย เป็นการบริหารสุขภาพจิตไปพร้อม ๆ กันค่ะ
9. โน - แอลกอฮอล์
สาว ๆ นักดื่มทั้งหลาย หากอยากลดน้ำหนักอย่างทันใจ ก็จงเซย์กู๊ดบายกับเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ไว้ก่อน เพราะมันจะทำให้คุณเพลิดเพลินไปกับการดื่มผสมกับอารมณ์เมานิด ๆ กว่าจะรู้ตัวอีกที อ้าว ดื่มไปซะหลายขวดแล้วนี่หว่า ดังนั้น ควรหันมาดื่มน้ำผลไม้เบา ๆ จะดีกว่า เชื่อมั้ยว่า ทุกครั้งที่คุณดื่มน้ำผลไม้ คุณจะกังวลเรื่องหุ่นสวยมากกว่าดื่มแอลกอฮอล์ซะอีก ทั้ง ๆ ที่มันมีแคลอรี่ไม่ต่างอะไรกัน เอ้า.. จริง ๆ นะ
10. ตะกร้าผลไม้
แม้ว่าผลไม้จะมีน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตอยู่บ้าง แต่ก็น้อยกว่าอาหารชนิดอื่นหากเทียบในปริมาณเดียวกัน และนอกจากนี้ยังดีต่อผิว ดีต่อระบบขับถ่ายของคุณอีกนะคะ เพราะฉะนั้น คุณควรมีตะกร้าผลไม้วางไว้ข้างตัวหน่อย เวลาท้องร้องระหว่างวันจะได้หยิบกินได้ ไม่อ้วน แถมยังสุขภาพดีอีก รับรอง!!
เอาล่ะค่ะ รู้อย่างนี้แล้ว สาว ๆ ที่กำลังคิดจะลดหุ่นก็เลิกกังวลไปได้เลย รับรองว่าตัวช่วยที่ว่ามาทั้ง 10 ข้อนี้ จะทำให้คุณลดน้ำหนักได้อย่างสบาย แถมยังไม่ทรมานตัวเองอีกนะ เอ้า.. พร้อมแล้วก็ไปปฏิบัติการลดหุ่นพร้อม ๆ กันเลย..
ข้อมูลจาก kapook.com

"แตงกวา" ลดความมันบนใบหน้า

ปัญหาหน้ามัน คงทำให้สาว ๆ หลายคนหมดความมั่นใจไปตาม ๆ กัน เพราะนอกจากจะมีผิวหน้าเป็นมันวาวแล้ว ยังแต่งหน้าติดยาก แถมยังเป็นบ่อเกิดของสิวและจุดด่างดำอีกด้วย (ว้าก... มีอะไรดีบ้างไหมเนี่ย)
ผิวมัน เป็นผิวที่มีความมันมากกว่าปกติ โดยเฉพาะบริเวณทีโซน (หน้าผาก จมูก คาง) เนื่องจากต่อมไขมันทำงานมากกว่าปกติ ทำให้มีรูขุมขนกว้าง ผิวหน้าดูหยาบกร้าน หมองคล้ำ ไม่สดใส แต่... ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปค่ะ เพราะวันนี้เรามีสูตร (ไม่) ลับลดหน้ามันมาฝาก...
สิ่งที่ต้องเตรียม...
• แตงกวา 2 ลูก • น้ำมะนาว • ไข่ไก่ 2 ฟอง
วิธีทำ
นำแตงกวา 2 ลูกที่เตรียมไว้มาปอกเปลือกแล้วล้างให้สะอาด นำมาปั่นกับน้ำมะนาวครึ่งช้อนโต๊ะ และไข่ไก่ที่คัดเอาแต่ไข่ขาว 2 ฟอง
เมื่อปั่นส่วนผสมทั้งหมดเข้าด้วยกัน จนเป็นเนื้อครีม จากนั้นก็นำมานวดหน้าเบา ๆ ให้ทั่วใบหน้า เว้นบริเวณรอบดวงตาและริมฝีปาก พอกทิ้งไว้ประมาณ 10 – 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด
ทำสัปดาห์ละ 1 – 2 ครั้ง เพียงเท่านี้ก็ช่วยลดความมันบนใบหน้าของคุณได้แล้วล่ะค่ะ
ข้อมูลจาก kapook.com

เคล็ดลับแต่งหน้าเฉด "สีทอง"

ในการแต่งหน้าไปปาร์ตี้ยามค่ำคืน สีทองเป็นอีกเฉดสีหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากเลยทีเดียวค่ะ เพราะนอกจากจะทำให้คุณดูมีเสน่ห์ นุ่มลึก แล้ว สีทองยังเป็นที่ดึงดูดจากสายตาใครต่อใครไม่น้อยเลยทีเดียวนะ และที่สำคัญ เฉดสีนี้เหมาะกับสาวทุกสีผิวอย่างมากเลยด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสาวผิวคล้ำ ถ้าแต่งหน้าโทนสีทองแล้ว โอโห ช่างดูเข้ากั๊น เข้ากันเสียนี่กระไร
ไม่รอช้าค่ะ วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาสาว ๆ ผีวคล้ำไปแต่งหน้าให้มีเสน่ห์ด้วยเฉดสีทอง ให้คุณเฉิดฉายและโดดเด่น จนเบียดสาวผิวขาวให้ตกขอบไปเลยล่ะ ว่าแล้วก็หยิบกระเป๋าเครื่องสำอางขึ้นมาเลยค่ะ
1. ขั้นตอนการรองพื้น ให้คุณใช้รองพื้น 2 เฉดสี คือ สีเดียวกับผิว และคล้ำกว่าผิว เพื่อสร้างมิติให้กับใบหน้าของคุณ โดยรองพื้นสีเดียวกับผิวนั้น ให้เกลี่ยลงบริเวณแก้ม หน้าผาก และสันจมูก ส่วนรองพื้นสีคล้ำกว่าผิวนั้น ให้เกลี่ยบริเวณข้างจมูก โหนกแก้ม และบริเวณเหนืยงค่ะ จากนั้นเก็บรายละเอียดด้วยคอนซีลเลอร์บนใบหน้าแล้วลงแป้งให้เรียบร้อย เอาล่ะ คราวนี้ก็พร้อมที่จะเติมแต่งสีสันบนใบหน้าแล้ว
2. เขียนคิ้วให้เรียบร้อย แล้วลงอายไพรเมอร์เพื่อให้อายแชโดว์ติดทนนาน จากนั้นใช้อายแชโดว์สีเงินมุกเกลี่ยบริเวณใต้คิ้ว ต่อด้วยการทาอายแชโดว์สีทองให้ทั่วเบ้าตา เน้นบริเวณกลางตาเพื่อให้มีมิติ จากนั้นให้ใช้อายแชโดว์สีดำทาบริเวณหางตา แล้วเกลี่ยให้สีสองสีกลมกลืนกัน อ้อ แล้วอย่าลืมทาอายแชโดว์สีดำใต้ตาด้วยเล็กน้อย เป็นอันเสร็จขั้นตอนของอายแชโดว์แล้วค่ะ
3. เขียนอายไลเนอร์ตามแนวขนตา โดยเน้นบริเวณหางตาให้เข้มหน่อย จากนั้นปัดมาสคาราตามแนวขนตาทั้งบนและล่าง อาจติดขนตาปลอมเพื่อให้ดวงตาดูกลมโต และมีเสน่ห์มากขึ้น
4. ใช้บลัชออนสีส้ม ปัดบริเวณโหนกแก้ม โดยเกลี่ยให้กลมกลืนไปกับสีผิวคุณ
5. ลงลิปบาล์มเพื่อรักษาความชุ่มชื้นของริมฝีปาก จากนั้นให้ใช้ลิปสติกสีนู้ด หรือสีใบไม้แห้งทาให้ทั่ว และถ้าหากคุณอยากให้ลิปสติกติดทนนาน หลังจากทาลิปสติกแล้วให้คุณเม้มปากกับกระดาษ จากนั้นตบแป้งลงไปบาง ๆ แล้วทาลิปสติกซ้ำอีกครั้ง และอย่าลืมเพิ่มความโดดเด่นด้วยลิปกลอสด้วยนะ
เพียงเท่านี้ก็เสร็จเรียบร้อยแล้วสำหรับการแต่งหน้าเฉดสีทอง แต่ถ้าหากคุณอยากเพิ่มความสว่างใสให้ใบหน้าดูโดดเด่นขึ้นไปอีก ให้ปิดท้ายด้วยการปัดแป้งชริมเมอร์ให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ครบสูตรสาวผิวคล้ำแสนเสน่ห์ที่พร้อมจะดึงดูดทุกสายตาสำหรับงานปาร์ตี้ หรืองานราตรีคืนนี้แล้ว
ข้อมูลจากkapook.com

4 ภัยร้าย ผลพวง"ลดความอ้วน"ผิดวิธี

หากสาว Plus ทั้งหลายที่กำลังจะลดความอ้วนอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่ตอนนี้ จนลืมดูแลสุขภาพของตัวเอง ต้องไม่ลืมว่า การจะมีหุ่นสวยควรมาควบคู่กับการมีสุขภาพที่ดีด้วย เพื่อไม่ให้ผลร้ายต่าง ๆ ต้องตามมาภายหลัง เพราะฉะนั้นคุณควรเริ่มทบทวน และทำความเข้าใจเสียใหม่เกี่ยวกับการลดอย่างถูก วิธี นั่นคือ ไขมันจะต้องถูกกำจัดออกไปไม่ใช่กล้ามเนื้อ หากคุณลดแบบผิด ๆ เช่นเดิม ร่างกายของคุณจะฟ้องออกมาในรูปแบบที่น่าสะพรึงกลัวอย่างนี้ 1.ใบหน้าซูบซีด โทรมสุดขีด ผิวหนังแห้งเหี่ยวไม่มีน้ำมีนวล
เพราะดื่มน้ำน้อยเกินไป ทำให้ร่างกายขาดน้ำเพราะโดยปกติแล้ว ใน 1 วัน ร่างกายจะต้องการน้ำจากการดื่มน้ำ 1,500-2,000 C.C. (6-8 แก้ว) และได้รับน้ำที่มากับอาหาร 1,000-2,000 C.C. เมื่อร่างกายเผาผลาญอาหารที่กินเข้าไปก็จะได้รับน้ำเพิ่มอีก 300-500 C.C. เห็นมั้ยคะว่า น้ำที่ใช้ในร่างกายส่วนใหญ่จะมาจากอาหารที่กินเข้าไป ยิ่งคุณลดปริมาณอาหารมากเท่าไร ร่างกายก็จะยิ่งขาดน้ำมากเท่านั้น ยิ่งลดน้ำหนักควรดื่มน้ำให้ได้วันละประมาณ 10-12 แก้ว และถ้าร่างกายขาดวิตามินและเกลือแร่บางชนิดแล้วจะทำให้...
วิตามิน A จะทำให้ผิวแห้ง อักเสบง่าย ไม่เรียบเนียน เยื่อบุอวัยวะต่าง ๆ แห้ง อักเสบ
วิตามิน B1, B2, B3, B5 ทำให้ผิวแห้ง เหี่ยวย่น เป็นกระง่าย รวมถึงสีผิวไม่เรียบเนียนด้วย
วิตามิน C ผิวหนังไม่สดใส ไม่เต่งตึง แถมเหี่ยวย่นง่ายอีกต่างหาก
ธาตุสังกะสี ทำให้ขาดโปรตีนเคราติน ทำให้การสร้างผิวหนังใหม่เกิดไม่สมบูรณ์ จึงทำให้ผิวไม่เรียบเนียน และสีผิวไม่สม่ำเสมอค่ะ
2.เส้นผมแห้งกรอบ ขาดความเงามัน และไม่นุ่มสลวยอย่างเคย
อาจเกิดจากการขาดน้ำ หรือขาดกรดไขมันที่จำเป็นบางชนิด ทำให้ต่อมไขมันบริเวณโคนเส้นผมผลิตไขมันออกมาน้อย ทำให้เส้นผมแห้งมาก ทางแก้คือควรกินกรดไขมันที่จำเป็นบางชนิดเข้าไป อย่างเช่น กรดไขมัน LA ที่พบในน้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันงา หรือกรด DHA ที่พบในน้ำมันปลา และควรกินให้ได้วันละ 3-6 กรัมนะคะ และอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผมคุณดูแย่ก็คือ การขาดแร่ธาตุบางอย่าง เช่น ธาตุกำมะถันที่เป็นส่วนประกอบสำคัญอยู่ในโปรตีนของเส้นผม ผิวหนัง กรดอะมิโนเมธิโอนีน ซีสติน วิตามิน B1 และไบโอติน ถ้าขาดธาตุกำมะถันจะทำให้การสร้างเส้นผมและผิวหนังผิดปกติ วิธีแก้ก็คือ ควรกินอาหารที่มีธาตุกำมะถันอยู่มาก อย่างไข่ และผลไม้ เป็นต้น
3.กล้ามเนื้อไม่มีความแข็งแรง มือไม้อ่อนแรง
อาจเกิดจากการกินอาหารจำพวกโปรตีนน้อยเกินไป ทำให้กระบวนการสร้างกล้ามเนื้อเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ ใน 1 วัน คุณควรกินโปรตีนให้ได้ประมาณ 0.75 กรัมต่อน้ำหนักตัวที่เหมาะสม 1 กิโลกรัม และจะต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย เพื่อให้กล้ามเนื้อแข็งแรงค่ะ
4.อาการท้องผูกเรื้อรัง ขับถ่ายไม่ปกติ
คุณดื่มน้ำน้อยเกินไปและกินอาหารที่มีกากใยน้อย ทำให้กากอาหารในลำไส้ลดน้อยลงตามไปด้วย อีกอย่างการไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ก็มีผลทำให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ไม่ดี ลำไส้มีการเคลื่อนไหวน้อย เกิดอาการท้องผูกขึ้นได้ค่ะ และเรื่องเครียดก็มีส่วนนะ ลองหากิจกรรมทำยามว่างหรือออกกำลังกายจะช่วย ทำให้ความเครียดลดน้อยลงได้ค่ะ

ข้อมูลจาก Woman Plus

เทคนิคใช้ "มาสคาร่า" ไม่ให้จับตัวเป็นก้อน

ดัดขนตาก่อน โดยวางที่ดัดขนตาให้ชิดโคนขนตามากที่สุด แล้วบีบค้างเอาไว้สองสามวินาที จากนี้เลื่อนที่ดัดขนตาออกมาเล็กน้อย แล้วบีบเบาอีกครั้ง ทำอย่างนี้อีกประมาณหนึ่งหรือสองครั้ง จนกระทั่งที่ดันขนตาเลื่อนมาจนเกือบจะถึงปลายขนตา
ถ้าคุณมีขนตาบาง ก็เพิ่มความอวบหนาให้กับเส้นขนตาซะก่อน ด้วยผลิตภัณฑ์รองพื้นเส้นขนตา จากนั้นก็เริ่มปัดมาสคาร่าโดยวางแปรงไว้บริเวณโคนขนตา แล้วส่ายแปรงไปมาทางด้านข้างเบา ๆ ก่อนตวัดแปรงขึ้นไปตรง ๆ จนถึงปลายขนตา คุณควรปัดมาสคาร่าสองสามรอบ โดยรอแต่ละรอบให้แห้งก่อน
หลังจากปัดมาสคาร่าเสร็จแล้ว ใช้หวีอันเล็ก ๆ หวีบริเวณปลายขนตา เพื่อช่วยให้ขนตาดูเรียงเส้นสวย และไม่มีการจับตัวเป็นก้อน จบด้วยการปัดมาสคาร่าชนิดกันน้ำตามลงไปอีกครั้ง

ข้อมูลจากLisa

4 เรื่อง "ผม" ที่เรามักพลาด

ผู้หญิงเราทำร้ายผมแบบไม่ได้ตั้งใจไปได้หลายเรื่อง นั่นเพราะเราไม่รู้เรื่อง ‘ผม' ที่อยู่ใกล้แค่ยกมือจับ แต่กลับเผลอไม่ดูแลจนผมเสีย ฟูฟ่อง หรือไม่ก็หลุดร่วงอย่างน่าเสียดาย
ปริศนาข้อที่ 1: ผมตายแล้ว จริงหรือ?เรื่องจริง: เส้นผมของเราเป็นธรรมชาติ มีโครงสร้าง 3 ชั้นไล่จากข้างนอกลงไปคือ เกล็ดผม เนื้อผม และแกนผม และจะว่าไปแล้วผมที่เราสัมผัสอยู่นี้ล้วนเป็นเซลล์ที่ตายแล้ว ดังนั้นการที่เราเอาแชมพูไปทำความสะอาดหรือเอาครีมนวดผมไปบำรุง ก็ไม่ต่างจากการดูแลเซลล์ที่ตายแล้วไม่ให้แห้งกรอบหรือถูกทำร้ายจนเกินไป และยังนับว่าการสระผมเป็นสิ่งจำเป็น เพราะต่อมไขมันเรายังทำงาน และฝุ่นก็ยังจับผมเราอยู่ งั้นทำไงดี: ถึงผมจะตายแล้ว แต่ผมก็ยังต้องการการดูแล แต่การที่เราทุ่มเงินมากมายไปกับการทำทรีตเม้นต์หรือลงทุนกับแชมพูราคาแพงนั้นฟังดูไม่จำเป็นเลย ในเมื่อเราทำได้มากที่สุดแค่การเอาอะไรไปเคลือบผมไว้ และเมื่อล้างออกก็กลับสภาพเดิม ทางที่ดีที่สุดคือการดูแลผมในแนวทางธรรมชาติ เลือกแชมพูและครีมนวดผมที่มีสารเคมีให้น้อยที่สุด และมีสมุนไพรเป็นตัวเคลือบผม แทนที่จะนำสารสังเคราะห์มาเคลือบ (และเผลอทำให้หน้าเราเป็นสิวอีกด้วยนี่สิ)
ปริศนาข้อที่ 2 : ผลิตภัณฑ์ผมนุ่ม ดีกับผมเรื่องจริง: เบื้องหลังของครีมนวดผม ครีมทรีตเม้นต์ หรือแม้แต่แชมพูที่สระแล้วผมนุ่ม นั่นก็คือการเติมสารเคมีที่ลงท้ายด้วยคำว่า -cone อย่าง ซิลิโคน (Silicone) หรือไดเมทธิโคน (Dimethicone) ลงไป เมื่อใช้สารตัวนี้ก็จะไปเคลือบผมข้างนอกไว้ ทำให้ผมดูนุ่มสลวย จับแล้วนุ่มมือ เป็นสารสังเคราะห์ชนิดหนึ่งที่บางคนสัมผัสกับผิวแล้วเกิดการระคายเคือง งั้นทำไงดี: ถึงแชมพูสูตรสมุนไพรต่างๆ จะไม่ทำให้ผมเราลื่นนุ่มเท่ากับแชมพูเคมีทั้งหลาย แต่นั่นก็พิสูจน์ได้ว่า ไม่มีสารเคมีมากมายมาเคลือบและก่อตัวสะสมบนหนังศีรษะของเรา ยอมลดความนุ่มที่เคยชินลงหน่อย แต่ก็ทำให้เราสะบัดผมได้อย่างมั่นใจขึ้น
ปริศนาข้อที่ 3 : แชมพูเด็กปลอดภัยที่สุดเรื่องจริง: ช้าก่อนสาวๆ...เคยสงสัยไหมว่าในเมื่อสิ่งที่ดีย่อมมาจากธรรมชาติแล้วไสร้ แต่ทำไมแชมพูเด็กเกือบทุกตลาดมักผลิตมาจากบริษัทเครื่องสำอางเคมีทั้งนั้น เรื่องจริงก็คือว่า แชมพูเด็กผลิตมาจากสารเคมีเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ทำให้ส่วนผสมมีความอ่อนโยนเท่าที่จะทำได้ เช่น ไม่ใส่น้ำหอม ที่ผิวเด็กอาจแพ้ได้ เป็นต้นงั้นทำไงดี: ผิวและผมคนเราเสี่ยงต่อสารเคมีมากกว่าสารสกัดจากธรรมชาติ ฉะนั้นแล้ว อย่าชะล่าใจว่าผลิตภัณฑ์ที่เชื่อกันว่าอ่อนโยนที่สุดจะดีที่สุด ที่สำคัญ เราแต่ละคนแพ้ไม่เหมือนกัน ได้ผลลัพธ์ต่อของชิ้นเดียวต่างกัน การทดลองใช้ด้วยตัวเองจึงสำคัญที่สุดในการตัดสินใจ
ปริศนาข้อที่ 4 : ผมหอม สร้างเสน่ห์เรื่องจริง: คนเราชอบให้ผมส่งกลิ่นหอมๆ ทุกครั้งที่สะบัดผม แต่ที่มาคือน้ำหอมที่ผสมอยู่ในแชมพูและครีมนวดผม ลองนึกดูสิ ว่าผมเรากำลังเจอสารเคมีชนิดหนึ่งมาเคลือบผมไว้เพียงชั่วครู่ และอาจเป็นสาเหตุของปัญหาสิวได้ เมื่อแพทย์ผิวหนังพบว่า คนไข้ที่มีสิวหลังและสิวอักเสบบนใบหน้ามากกว่าครึ่ง แพ้น้ำหอมและสารเคมีอื่นๆในแชมพูและครีมนวดผม แทนที่จะแพ้จากเครื่องสำอาง!งั้นทำไงดี: ใช่ว่าจะต้องงดแชมพูกลิ่นดีๆ ไปเสียทีเดียว แต่แชมพูและครีมนวดผมสูตรธรรมชาติทั้งหลาย ก็มีกลิ่นหอม สดชื่น ที่ได้จากน้ำมันหอมระเหยต่างๆ ได้ เช่น น้ำมันหอมระเหยจากขิง, ส้ม, มะกรูด, ส้มโอ เป็นต้น ที่ให้ความหอมแบบไม่ระคายจมูก และยังได้ผลอ้อมๆ ในเรื่องกลิ่นบำบัด คลายเครียดได้ด้วย
ข้อมูลจากsanook.com

3 วิธีป้องกัน"ริ้วรอยรอบดวงตา"

ซื้อแว่นกันแดดอันใหญ่ ๆ ถึงแม้คุณจะมีอายุแค่ยี่สิบต้น ๆ คุณก็อาจมีริ้วรอยบาง ๆ เกิดขึ้นแถวดวงตาแล้วก็ได้ การที่ต้องหรี่ตาหลบแสงแดดยามเดินออกไปข้างนอก หรือในระหว่างขับรถ ก็อาจจะยิ่งเร่งให้เกิดริ้วรอยที่ดูชัดขึ้นได้ แว่นกันแดดขนาดใหญ่คืออาวุธลับที่จะช่วยสกัดกั้นปัญหานี้ได้ แต่ยังไง ๆ ก็อย่าลืมทาครีมกันแดดเป็นประจำด้วยล่ะ
ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีก้าวหน้าไปมากในยุคนี้ คุณจึงสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพได้อย่างหลากหลาย ตั้งแต่เติมเต็มริ้วรอยให้ดูเรียบเนียน ไปจนถึงแบบที่ผสมเปปไทด์ ช่วยกระตุ้นให้สร้างคอลลาเจนและอิลาสติน รวมถึงแบบที่ผสมกรดไฮยารูโรนิก ช่วยให้ผิวดูอวบอิ่มขึ้น
ใช้เครื่องสำอางน้อย ๆ การดึงหรือรั้งผิวรอบดวงตาในขณะแต่งหน้า อาจสร้างความเสียหายให้คุณได้ ฉะนั้นก็ควรใช้เครื่องสำอางอย่างเบามือ และใช้พู่กันแต่งตาที่มีขนนุ่ม ๆ เสมอ

ข้อมูลจาก Lisa

เทคนิคเสริม"หน้าอก" ด้วย"เครื่องสำอาง"


 Keira Knightley นางเอกสาวจาก Pirate of the Caribean ที่ขึ้นชื่อว่ามีหน้าอกขนาดเล็ก ก็ยังได้รับการเสริมเติมแต่งจากทีมงานเมคอัพให้ดูมีเนื้อมีหนังขึ้น

สาว ๆ ที่กลุ้มใจกับขนาดหน้าอกที่เล็กก็สามารถทำได้เช่นกัน เพียงคุณมีแป้งฝุ่นซักสองสี สีอ่อน ๆ ที่ใกล้เคียงกับผิวของคุณ กับสีเข้ม ๆ ขึ้นอีกหน่อย ก็เพียงพอที่จะสร้างเนินห้าอกขึ้นมาได้

ขั้นตอนเสริมหน้าอกด้วยเครื่องสำอาง
 
1. สวมชุดที่คุณจะใส่ (ถ้ามี push up bra ด้วยก็อย่าลืมใส่นะคะ) แล้วหาผ้า หรือกระดาษมาคอยกันแป้งหกใส่ชุดจนเลอะเทอะซะก่อน

2. ปัดแป้งสีเข้ม (อาจจะออกทอง ๆ หน่อยก็ได้นะคะ) บริเวณตรงกลางเนินอก ระหว่างหัวไหล่ทั้งสอง โดยใช้วิธีการปัดขึ้นบน และปัดออกด้านข้าง โดยพยายามให้เป็นรูปทรงตัว V ตามแนวเนินหน้าอก

3. ใช้ฟองน้ำปัดแป้งฝุ่นที่มีสีอ่อนกว่า (อาจจะเป็นสีเนื้ออ่อนๆ แต่พยายามอย่าใช้แป้งที่มี shimmer นะคะ) บริเวณครึ่งบนของหน้าอก ค่อย ๆ ปัดให้สีเหลื่อมกับสีเข้มที่ลงไว้ก่อน

4. ส่องกระจกดูว่าหน้าอกของคุณได้รูปไหม ถ้ายังคิดว่ายังดูเล็กเกินไปให้ใช้แป้งที่สีเข้มปัดเพิ่มบริเวณตรงกลางร่องอก

ข้อมูลจาก Lisa

10 วิธีกำจัด "สิว"

1. ล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น คุณไม่จำเป็นต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นสารเคมีรุนแรงในการกำจัดสิวเลยค่ะ เพียงแค่คุณใช้น้ำอุ่นล้างหน้า หลังจากใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าตามปกติ น้ำอุ่นจะช่วยเปิดรูขุมขนและทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่อยู่ในรูขุมขน ทำให้สิวหายได้เร็วขึ้น 2. หลีกเลี่ยงคาเฟอีน เพราะคาเฟอีนทำให้ผิวคุณระคายเคืองได้ จนทำให้สิวหายได้ยากขึ้น แถมยังทำให้ผิวคุณดูโทรมอีกด้วยนะ
3. ดื่มน้ำเยอะ ๆ ผิวสุขภาพดี ล้วนมาจากภายใน ดังนั้นการดื่มน้ำวันละ 6 แก้วขึ้นไปนั้นดีต่อผิวมาก ๆ ค่ะ ทำให้ผิวคุณดูเปล่งปลั่งสดใส และถ้าหากคุณดื่มน้ำเยอะ ๆ ให้เป็นนิสัยแล้ว รับรองว่า เจ้าสิวทั้งหลายไม่กลับมาอย่างแน่นอนค่ะ
4. ใช้มอยซ์เจอไรเซอร์ที่มีซาลิไซลิด เอสิด ซึ่งเดี๋ยวนี้มีเกลื่อนตลาดเลยค่ะ เจ้าสารตัวนี้จะช่วยกำจัดสิวให้หายไปจากใบหน้าคุณเร็วขึ้น และถ้าจะให้ดี แม้ใบหน้าจะหายจากสิวแล้ว ก็ควรใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีซาลิไซลิดเอสิดล้างหน้าทุกวัน จะเป็นการป้องกันไม่ให้สิวกลับมาได้ค่ะ
5. หลีกเลี่ยงลมแรง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดพัดลมเป่าใบหน้า หรือนั่งมอเตอร์ไซค์ก็แล้วแต่ เพราะนี่จะทำให้ฝุ่นละอองภายในอากาศปะทะกับใบหน้า และเข้าไปอุดตันได้อย่างง่าย ๆ เลยทีเดียว
6. อย่าเครียด เพราะความเครียดนอกจากจะทำให้หน้าแก่แล้ว ยังทำให้หน้าเป็นสิวได้ง่าย ๆ อีกด้วยนะจ๊ะ
7. หลีกเลี่ยงการแต่งหน้าจัด เพราะจะทำให้เครื่องสำอางไปอุดตันรูขุมขน เรียกว่าถ้ายิ่งแต่งหน้าจัดเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ผิวหน้าหายใจไม่ออกเท่านั้น ดังนั้น ควรแต่งหน้าบาง ๆ ดีกว่าค่ะ
8. รัดผม เพราะการรัดผมนั้น ไม่ว่าจะทรงอะไรก็ตาม นอกจากจะทำให้เจ้าผมไม่มากวนใจเราแล้ว ยังทำให้มันไม่มีคลอเคลียบนผิวหน้าให้ฝุ่นละอองในผมมาทำให้หน้าเป็นสิวได้อีกนะ
9. เลิกพฤติกรรมการจับหน้า ไม่ว่าจะเท้าคาง หรือเอามือขึ้นมาจับแก้มตัวเองเวลาทำงานก็ตามที เพราะในแต่ละวัน มือของคุณไปจับอะไรต่าง ๆ นานา เยอะแยะมากมาย ดังนั้นหลีกเลี่ยงซะดีกว่าค่ะ เดี๋ยวสิวจะถามหาเอาง่าย ๆ นะ หรือหากใครเป็นสิวอยู่แล้ว รับรองว่า สิวหายยากแน่นอนล่ะ
10. ใช้ครีมแต้มสิว เพื่อเป็นการสมานแผลที่เกิดจากสิว และทำให้สิวยุบเร็วค่ะ

ข้อมูลจาก kapook.com

เคล็ดลับขัดผิวหน้าด้วย "เบกกิ้งโซดา"

เริ่มจาก ผสมเบกกิ้งโซดาครึ่งช้อนชากับเคลนเซอร์ของคุณ เพื่อทำเป็นสครับขัดผิวหน้า โดยนวดลงบนผิวหน้าที่เปียกหมาดๆ เป็นแนววงกลม แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด หากอยากให้สิวยุบ แนะผสมยาแอสไพรินบดเป็นผงลงไปหนึ่งเม็ด เนื่องจากตัวยามีส่วนผสมของกรดซาลิไซลิก ที่ช่วยกำจัดเชื้อแบคทีเรียได้
ลองทำวิธีที่แนะนำไปใช้ดูได้ แต่สาวๆที่ผิวบอบบางต้องระวัง !
ข้อมูลจากเดลินิวส์

"อาหารสิว" ที่สาว ๆ ควรระวัง

เรื่องธรรมดาที่ซ่อนความไม่ธรรมดาไว้ เพราะอาหารนอกจากจะให้ประโยชน์แก่ร่างกายแล้ว อาหารยังมีส่วนทำให้เกิดโรคและช่วยป้องกันรักษาโรคได้เช่นกัน ดังนั้นการกินอาหาร จึงต้องพิถีพิถันเป็นพิเศษ เพื่อให้ได้มาซึ่งอาหารที่มีคุณค่าครบถ้วนตามหลักโภชนาการ เพื่อสุขภาพที่ดี และช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค
ยกตัวอย่างใกล้ตัว อย่าง "สิว" ที่มีคนไข้จำนวนไม่น้อยทีเดียวที่มีต้นเหตุ หรือปัจจัยเสริมของสิวก็มาจาก อาหารที่รับประทานนั่นเอง ซึ่งอาหารที่กระตุ้นและก่อให้เกิดสิวมี 3 ประเภทหลัก คือ
1.นม ผลิตภัณฑ์จากนม Daily Product
เช่น นมข้นหวาน ชีส โยเกิร์ต ไอศกรีม เค้ก เบเกอรี่ และอาหารที่ผสมของนม เนื่องจากนมเป็นอาหารย่อยยาก เมื่อรับประทานเข้าไปจะเกิดหมักหมมในกระเพาะอาหาร และเกิดการเจริญเติบโตของ Yeast ซึ่งเมื่อเพิ่มมากขึ้นก็จะเกิดการกระตุ้นให้เกิดสิวได้ แต่ถ้าหากเกรงว่าจะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารที่คอยได้รับจากนม เราสามารถเลือกทานจากอาหารกลุ่มอื่นได้ เช่น ไข่ เต้าหู้ ถั่วต่าง ๆ ปลาตัวเล็ก และเนื้อสัตว์ เพื่อทดแทนโปรตีน และแคลเซียมจากนมได้
2. อาหารที่หวานจัด
ก็จะเป็นอาหารของยีสต์ในกระเพาะอาหารเช่นเดียวกัน ทำให้ยีสต์เจริญเติบโตได้ และยังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ทำให้ฮอร์โมนไม่คงที่ ขึ้น ๆ ลงตลอดเวลา เป็นสาเหตุของการเกิดสิวเพิ่มมากขึ้น
3.คาเฟอีน
จากชา กาแฟ เครื่องดื่มบำรุงกำลัง น้ำอัดลม เป็นตัวกระตุ้นให้ยีสต์เติบโต และเกิดพิษเป็นของเสียในร่างกาย และกระตุ้นให้เกิดสิวได้ง่ายคนที่มีอาการสิวอักเสบมาก เป็น ๆ หาย ๆ ตลอดเวลา หากทำการรักษามาหลายวิธี แต่สิวก็ยังไม่หายขาด อาจทดลองได้โดยการงดอาหารทั้ง 3 กลุ่ม ดังกล่าวข้างต้น สัก 1-2 เดือน หากผลที่ออกมาทำให้เกิดสิวลดลงหรือไม่เกิดสิวใหม่ ก็เป็นไปได้ว่าคุณอยู่ในกลุ่มที่ถูกกระตุ้นให้เกิดสิว จากอาหารเหล่านี้ และสามารถแก้ไขปัญหาสิวได้ไม่ยากอีกต่อไป
ชอบกินทั้งนั้นเลยยยยยย
ข้อมูลจาก ไอเอ็นเอ็น

5 วิธีถนอม"มือ"

มือ ของเราทุกคน ถือว่าเป็นอวัยวะที่ต้องใช้ทำงานหนักอยู่เป็นประจำนะคะ จนบางทีเราอาจจะลืมดูแลบำรุงจนมือของเราดูโทรม และไม่น่ามอง ดังนั้นเพื่อเป็นการถนอมมือให้ดูสุขภาพดีมากขึ้น มี 5 วิธีมานำแนะนำค่ะ
1. ถ้าคุณต้องล้างมือบ่อย ๆ ควรล้างด้วยสบู่เด็ก ที่มีค่าความเป็นด่างไม่รุนแรง หรือจะล้างด้วยน้ำเปล่าก็ได้เช่นกัน
2. เช็ดมือทุกครั้งหลังการล้างมือ อย่าปล่อยให้มือแห้งเอง เพราะจะทำให้น้ำหล่อเลี้ยงแห้งไปด้วย
3. ทาแฮนด์ครีม หรือเบบี้ออยล์ก่อนนอนทุกคืน และทาอีกครั้งตอนเช้าเพื่อป้องกันมือจากแสงแดด
4. ชโลมมือด้วยโยเกิร์ต ทิ้งไว้ 20 นาทีแล้วล้างออก จะทำให้มือนุ่มขึ้น ควรทำอาทิตย์ละ 2 ครั้ง
5. ดื่มน้ำให้เพียงพอ วันละ 8 – 10 แก้ว เพื่อทดแทนน้ำหล่อเลี้ยงที่เสียไป
ข้อมูลจาก Woman's Story

เทคนิคป้องกัน"เหงื่อ"ท่วม"รักแร้"

สาว ๆ คงเคยสังเกตเห็นเวลาเหงื่อออกมาก ๆ จะทำให้บริเวณรักแร้เปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อแถมซึมออกมาข้างนอกจนทำให้ดูเสีย บุคลิก และดีไม่ดีอาจส่งกลิ่นตุ ๆ ออกด้วย แค่คิดก็ไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ เอาเป็นว่าถ้าไม่อย่างให้มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นกับคุณก็มาดูเทคนิคดี ๆ ที่เรานำมาฝากดีกว่าค่ะ
วิธีการง่าย ๆ เลยก็คือ ให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สำหรับทาบริเวณรักแร้ ซึ่งมีด้วยกัน 2 ชนิด ได้แก่ แบบโรลออน และ แบบดรายสติ๊ก ที่สำคัญเลยเวลาเลือกให้ดูข้างขวดที่ระบุว่า Antiperspirant (สารระงับเหงื่อ) ไม่ได้เป็นเพียงแค่ Deodorant (สารระงับกลิ่นตัว) เพราะจะได้มั่นใจได้ว่ารักแร้จะแห้งสบายและปลอดกลิ่นตลอดวันค่ะ

ข้อมูลจาก Woman's Story

เคล็ดลับการใช้ "ลิปกลอส"

ลิปกลอสกลับมาฮิตบนเวทีแฟชั่นในซีซั่นนี้อีกแล้ว แต่การทาลิปกลอสซึ่งดูเหมือนจะทาง่าย ให้ออกมาสวยนั้น จำเป็นต้องใช้กลเม็ดเล็กน้อย
วิธีการง่ายๆ มีดังนี้
ถ้าริมฝีปากของคุณแห้งแตกหรือตกสะเก็ด จะทาลิปกลอสด้วยวิธีไหน ก็คงไม่ทำให้ดูสวยขึ้นได้แน่ๆ ฉะนั้นก็ดูแลริมฝีปากให้อ่อนนุ่มและเรียบเนียนด้วยการพกลิปบาล์มไว้ในกระเป๋าเพื่อคอยเติมความชุ่มชื้นเป็นระยะๆ ถ้าคุณมีอาการริมฝีปากแห้งแตกหรือลอกเป็นขุย ก็ใช้ผ้าสำลีนุ่มๆ และเปียกหมาดๆ ถูเป็นแนววงกลมให้ทั่วริมฝีปาก แล้วทาลิปบาล์มหรือวาสลีนก่อนเข้านอน เพื่อที่จะตื่นขึ้นมาพร้อมกับริมฝีปากที่เนียนนุ่ม
เติมความคมชัดให้แก่รูปปากของคุณ ด้วยการใช้ดินสอเขียนปากสีเนื้อวาดขอบปาก แล้วก็ใช้ดินสอแท่งเดียวกันแต่งเติมลงไปให้ทั่วริมฝีปาก วิธีนี้เป็นการรองพื้นสีปากให้ลิปกลอสมีที่ยืดเกาะได้ดีขึ้น ก่อนจะทาลิปกลอสสีโปรดของคุณทับลงไป โดยพยายามทาอย่าให้เลอะออกมานอกขอบปากที่คุณวาดไว้นั้น


ข้อมูลจากLisa

เทคนิคทา"โลชั่น" พร้อม"นวด"กระชับผิวกาย

การทาครีมหรือโลชั่นบำรุงแบบสาวกความงามตัวจริงเสียงจริงนั้น นอกจากจะช่วยเติมความชุ่มชื่นแล้ว หากรู้วิธีนวดอย่างถูกวิธี จะช่วยยกกระชับผิวให้เรียบและกระชับเต่งตึงได้อีกด้วย แนะให้เริ่มต้นทาโลชั่นที่ปลายขา แล้วค่อย ๆ วนขึ้นไปยังต้นขา เน้นบริเวณหน้าแข้งทั้งสองข้าง เพราะบริเวณนี้ผิวจะแห้งได้ง่ายที่สุด และไม่ควรลืมทาครีมที่บริเวณเท้าทั้งสองข้าง ทาทั้งหลังเท้าและฝ่าเท้า พร้อมทำการนวดให้ทั่วอุ้งเท้า เพื่อเพิ่มการไหลเวียนโลหิต แนะให้นวดในลักษณะที่เป็นวงกลม นวดจากล่างขึ้นบนในทิศทางเข้าหาหัวใจเริ่มจากข้อเท้าขึ้นมายังต้นขา นวดหมุนวนเป็นวงกลมเรื่อยขึ้นมาจนถึงสะโพก ไล่ขึ้นมายังหน้าท้อง นวดวนเป็นวงกลมจากขวาไปซ้ายตามทิศทางของลำไส้ใหญ่ ช่วยไล่ลมที่ค้างอยู่สุดท้ายนวดบริเวณแขน จากข้อมือไล่มายังหัวไหล่ ส่วนหน้าอกนั้นกางฝ่ามือออกแล้วกวาดขึ้นเบา ๆ จากด้านนอกเข้าสู่ด้านใน นวดขึ้นไปยังบริเวณคาง ส่วนบริเวณต้นแขนด้านท้องแขนนั้น ควรทาโลชั่นหรือครีมลักษณะวนขึ้นหลังแขน โดยการใช้ปลายนิ้วลูบไล้เพียงเบา ๆ เพื่อให้เนื้อครีมซึมซาบเข้าสู่ผิวได้สุด


ข้อมูลจากkapook.com

วิธีทำ "คิ้ว" สวยได้รูป

คิ้ว ช่วยให้ใบหน้าคุณดูสว่างขึ้นได้ คิ้ว ช่วยเสริมโหงวเฮ้งและเพิ่มความมั่นใจ กุญแจสำคัญของการมีรูปหน้าสวยงาม คือการมีรูปคิ้วได้รูป หรืออีกหลาย ๆ เหตุผลที่ทำให้คุณต้องหันมาใส่ใจ หนึ่งในพื้นที่เล็ก ๆ บริเวณรอบดวงตาHealth Plus ได้มีโอกาสพูดคุยกับ คุณสุพรรณี จู่มา กูรูด้านการตกแต่งคิ้วประจำ อนาสตาเซีย เบเวอร์รี่ ฮิลส์ เธอบอกกับเราว่า คนไทยประมาณ 70-80% มีคิ้วที่หนาเกินไป ดูไม่เข้ากับโครงหน้า และกว่า 50% ยังดูแลคิ้วไม่ถูกวิธี สำหรับคุณสาวๆ หากคิ้วได้รูป จะทำให้คุณแต่งหน้าได้ง่าย ดูดีมากขึ้นด้วย และ Your Looks ฉบับนี้ คุณสุพรรณีก็มีสาระเรื่อง "คิ้ว" มาอัพเดทเทรนด์ให้คุณได้ทราบกันค่ะคิ้วนั้น สำคัญไฉน"ถ้าจะพูดถึงความสำคัญของการมีรูปคิ้วสมบูรณ์แบบนั้น เปรียบเสมือนกรอบของใบหน้า ถ้าเรามีรูปคิ้วที่รับกับโครงหน้าแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องแต่งหน้าเลยก็ได้ เพราะคิ้วจะทำให้ใบหน้าดูกระจ่างขึ้นโดยอัตโนมัติ ดูดีแบบธรรมชาติ หลักการตกแต่งคิ้วง่าย ๆ ที่เราควรนึกถึงคือตกแต่งให้เหมาะกับรูปหน้าของแต่ละคน (Order Made Eyebrow) นั่นเอง"คิ้วกับโหงวเฮ้ง"ดิฉันทำงานด้านนี้มานาน ส่วนหนึ่งคงปฏิเสธไม่ได้ถึงสาเหตุของผู้ที่มาใช้บริการไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม เป็นเพราะต้องการเสริมโหงวเฮ้ง ตามความเชื่อแบบไทย ๆ เพราะตามหลักโหงวเฮ้ง ถือว่าบริเวณรอบดวงตาเป็นจุดประตูหัวใจสามารถบอกนิสัยใจคอของคนคนนั้นได้ ซึ่งก็แล้ว แต่ความเชื่อส่วนบุคคล อีกเหตุผลหนึ่งคือ มองว่าการมีคิ้วหนาเกินไป บางเกินไป ทำให้รู้สึกอายไม่มั่นใจเวลาพบปะผู้คน ยิ่งถ้าเป็นสาวทำงานในระดับผู้บริหาร สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้พลาดโอกาสดี ๆ ที่จะเข้ามาในชีวิตได้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด สิ่งสำคัญก็คือ เพื่อความสบายใจ ความมั่นใจในตัวเอง"รูปคิ้ว 4 ลักษณะรูปคิ้วมีหลายรูปแบบ หลัก ๆ คือ มี 4 รูปแบบรูปแบบที่ 1 คือ คิ้วที่โค้ง โก่งสูง ไม่หักมุมเป็นคิ้วของผู้ที่มีเบ้าตากลมโตจะเป็นโค้ง ยาวต่อเนื่องรูปแบบที่ 2 คือ คิ้วโค้ง โก่งต่ำ สูงไม่มาก เป็นคิ้วของผู้ที่มีเบ้าตาแบบสี่เหลี่ยม สไตล์สาวหวาน ซึ่งคนไทยจะมีรูปคิ้วลักษณะแบบนี้เป็นส่วนใหญ่รูปแบบที่ 3 คือ คิ้วเรียงยาว ตรง โค้งสั้น ไม่ค่อยมีตำแหน่งของมุมคิ้วเป็นคิ้วของผู้ที่มีเบ้าตากลมเล็กรูปแบบที่ 4 คือคิ้วโค้ง โก่ง เชิดขึ้น เป็นคิ้วของผู้ที่มีเบ้าตาที่เรียว เฉี่ยวสไตล์สาวเปรี้ยว ทะมัดทะแมงเทรนด์การตกแต่งคิ้วจุดแรกเริ่มที่ทำให้เกิดเทรนด์ตกแต่งคิ้ว เกิดจากกระแสดาราฮอลลีวู้ด คนในวงการบันเทิงที่ใส่ใจตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า คิ้วก็เป็นสวนหนึ่งที่พวกเขาและเธอให้ความสำคัญ เมื่อสิ่งเหล่านี้ถูกเผยแพร่ตามสื่อ ทำให้เกิดเป็นกระแสเลียนแบบ เทรนด์คิ้วที่คนไทยรับมานั้นก็จะรับมาจากญี่ปุ่นอีกต่อหนึ่ง แต่คนญี่ปุ่นจะชอบแบบคิ้วเล็กๆ สีบาง ๆ อ่อน ๆ เพราะจะทำให้รูปหน้าดูสวย สดใส น่ารักสไตล์คนญี่ปุ่นทั่วไป แต่พอมาถึงบ้านเราจะเป็นเทรนด์รูปคิ้วชัดเจน โค้งพอดี ๆ ขนคิ้วเรียงไปทางเดียวกัน สาววัยทำงานจะนิยมรูปคิ้วแบบนี้มากที่สุดคิ้วได้รูปดั้งสาวฮอลลีวู้ดเทรนด์คิ้วแบบสาวฮอลลีวู้ จะเป็นวิธีที่นำทฤษฏี Golden Ratio โดยใช้โครงและขนคิ้วที่มีอยู่เป็นต้นแบบ เพื่อให้ได้ความโค้งที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งจะเริ่มจากการวิเคราะห์โครงสร้างกระดูก เบ้าตา รูปหน้าและองค์ประกอบบนใบหน้ากำหนดจุดหลัก 3 จุด เพื่อหาจุดเริ่มต้น จุดโค้งสูงสุดและจุดปลายคิ้วที่เหมาะสมกับโครงหน้าของแต่ละคน เมื่อได้จุดที่ว่าแล้วก็จะเป็นขั้นตอนของการดีไซน์เริ่มจากแรงเงา วาดกรอบส่วนเกินที่จะกำจัด จากนั้นก็ใช้แว็กซ์อุ่นแว็กซ์บริเวณที่เกินออก ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที เก็บรายละเอียดนิดหน่อยแล้วทาออยล์ เพื่อไม่ให้เกิดการระคายเคือง เรียกวิธี Order Made Eyebrowขั้นตอนการแว็กซ์คิ้วแว็กซ์ จากขี้ผึ้งชั้นดีคนดังในฮอลลีวู้ดส่วนใหญ่ก่อนที่พวกเธอจะเสริมแต่งอะไรนั้น ต้องมั่นใจก่อนว่ามีส่วนผสมที่ปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียง การจัดแต่งคิ้วด้วยแว็กซ์อุ่นปลอดภัยด้วยขี้ผึ้งขั้นดี สกัดจากธรรมชาติล้วน ๆ ไม่มีสารเคมีมาเจือปน เป็นแว็กซ์สำหรับผิวบอบบาง บริเวณใบหน้าเท่านั้น หลังทำจะไม่เกิดอาการแพ้แต่อย่างใด แต่สำหรับบางคนที่ผิวอบบางมาก ๆ อาจจะมีบวมแดงบ้างเป็นเรื่องปกติ ประคบเย็นไม่กี่นาทีก็หาย คนในแวดวงบันเทิงต่างประเทศอย่าง เพเนโลเป้ ครูซ, ลูซี่ ลิว, มาตอนน่า ก็เป็นคนดังที่ชื่นชอบการแว็กซ์คิ้วสไตล์นี้เอามาก ๆDo You Know…• โกนหรือกันคิ้ววิธีนี้อาจจะช่วยได้ชั่วคราว เพราะรากขนไม่ได้ถูกกำจัดออกไปด้วย ผ่านไปประมาณ 15-30 วันก็จะเกิดขึ้นใหม่เกิดเป็นตอ ๆ แถมขนยังเส้นใหญ่แข็งขึ้นเรื่อย ๆ บ้างมีขนคุด ดูไม่เรียบเนียนเลย ไม่แนะนำเอามาก ๆ เสี่ยงกับคิ้วแหว่ง และมีดโกนบาดได้ง่าย ๆ• ถอนคิ้วไม่ควร เพราะด้วยองศาการดึงและแรงดึงที่ไม่สม่ำเสมอ นอกจากจะทำให้เส้นขนขาดและเจ็บแล้ว เมื่ออายุมากขึ้น ผิวหนังส่วนนั้นอาจจะหย่อนคล้อยได้ ยิ่งถ้าถอนใกล้เปลือกตาบน เสี่ยงต่อรูปคิ้วผิวเพี้ยนพานทำให้รูปหน้าเปลี่ยนไปเลย แต่ถ้าจะเลือกวิธีถอนจริงๆ พยายามยามอย่าถอนเอง ควรระวังตรงเบ้าตาต่าง เพราะเส้นประสาทจะอยู่ช่วยตาล่าง หลังถอนเสร็จควรประคบเย็น เพื่อเป็นการปิดรูขุมขนทุกครั้ง• เพ้นท์คิ้วก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่นิยม โดยเฉพาะสักคิ้ว เพ้นท์คิ้วแบบ 3 มิติ ให้คิ้วดูเสมือนจริงมากที่สุด วิธีนี้จัดอยู่ในกลุ่มของการสักเพื่อความงามและการรักษา เพราะในกลุ่มคนที่คิ้วแหว่ง คิ้วขาดร่วง คิ้วบางมาก ๆ ก็สามารถเลือกวิธีนี้ได้ ซึ่งมีอุปกรณ์ลักษณะเป็นเข็มต่างขนาด จิ้มลงบนผิวที่ต้องการเติมเต็ม แต่ควรระวังเรื่องของการติดเชื้อ เพราะบางแห่งอาจมีการใช้เข็มซ้ำ การดูแลหลังทำก็สำคัญ ควรปฏิบัติด้วยตามที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำอย่างเคร่งครัดเลี่ยงการอาบน้ำที่มีปริมาณคลอรีนสูง ๆ ออกกำลังกายหรือซาวน่าที่เหงื่อออกเยอะ ๆ เลือกใช้โฟมหรือสบู่ที่อ่อนโยนต่อผิวบอบบาง เป็นต้น• แว็กซ์คิ้วเป็นวิธีที่นิยมและยอมรับของสาว ๆ ทั่วโลก ง่าย ปลอดภัย ประหยัดเวลานำศิลปะด้านการออกแบบเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้ได้รูปคิ้วตามโครงหน้าที่ต้องการและกำจัดขนคิ้วส่วนเกินได้อย่างถอนรากถอนโคน แต่ต้องได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะ แต่ควรสอบถามให้แน่ชัดก่อนว่าน้ำยาแว็กซ์คิ้วมีสวนผสมของสารเคมีมากน้อยแค่ไหน เพราะอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองได้


ข้อมูลจากHealth Plus

เคล็ดลับบำรุงผิว "นุ่ม"ด้วย "กล้วยหอม"

เริ่มจาก นำกล้วยหอมสุก 1/2 ลูก มาบด ผสมกันน้ำผึ้ง 1 ช้อนชา คนให้เข้ากัน หรือนำไปปั่นในเครื่องปั่นก็ได้ ปั่นจนเนื้อครีมละเอียด จากนั้นล้างหน้าตามปกติแล้วนำครีมมาทาให้ทั่วใบหน้า ยกเว้นรอบดวงตาและริมฝีปาก ทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น


ข้อมูลจากเดลินิวส์

17 เกร็ดความรู้เรื่อง "ความงาม"

1. ช๊อกโกแลตนี่แหละ ที่มาของใบหน้ามีสิวจนถึงขณะนี้ยังไม่มีการศึกษาหรืองานวิจัยใด ๆ ที่สนับสนุนว่าความเชื่อดังกล่าวเป็นจริง ในต่างประเทศได้มีการทดลองทฤษฎีนี้ โดยแบ่งคนเป็นสิวที่มีความรุนแรงเท่า ๆ กันออกเป็นสองกลุ่ม ให้กลุ่มแรกงดกินช๊อกโกแลตเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ส่วนกลุ่มหลังให้กินช๊อกโกแลต 3 แท่งต่อสัปดาห์ติดต่อกันเป็นเวลานาน 4 สัปดาห์ ผลการทดลองพบว่าไม่มีความแตกต่างระหว่างคนทั้งสองกลุ่ม จึงยังไม่สามารถสรุปได้ว่าการกินช๊อกโกแลตเป็นสาเหตุหนึ่งซึ่งไปกระตุ้นให้เกิดสิวขึ้นจริงเหมือนอย่างที่หลายคนเชื่อกัน...แต่ทำให้อ้วนได้แน่นอนเชียวค่ะ2. ค่า SPF ในครีมกันแดดยิ่งสูงยิ่งกันแดดได้ดีSPF ย่อมาจาก Sun Protection Factor เป็นค่าที่บอกว่าผิวของคุณสามารถทนต่อแสงแดดได้นานเท่าไหร่โดยไม่เกิดผิวไหม้ เช่น ถ้าคุณไปตากแดดแล้วเกิดผิวไหม้ภายใน 15 นาที หลังใช้ครีมกันแดดที่มี SPF 15 แล้วจะช่วยทำให้ผิวของคุณทนต่อการไหม้ของแดดได้นานขึ้นถึง 15x15=225 นาที ส่วนค่า SPF ที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้ผิวป้องกันแสงแดดได้มากขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เช่น SPF 30 กันแดดได้ 97% SPF 60 กันได้ 98-98.5% จะเห็นว่า SPF จาก 30 เป็น 60 ช่วยกันแดดได้เพิ่มขึ้นเพียง 1-1.5% เท่านั้นซึ่งถือว่าน้อยมาก ดังนั้น ครีมกันแดดที่มีค่า SPF สูง ๆจึงไม่ได้ดีกว่าเสมอไป3. วิตามินและอาหารเสริมเพิ่มความสวยการรับประทานวิตามินและอาหารเสริม กลายเป็นกระแสนิยมไปแล้วในขณะนี้ เนื่องจากมีโฆษณาชวนเชื่อมากมาย อ้างว่าสามารถทำให้ผิวสวยสุขภาพดีจากภายในสู่ภายนอกได้ หากคุณอยู่ดีกินดีไม่ได้อดมื้อกินมื้อ วิตามินและอาหารเสริม ก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น เพราะการรับประทานอาหารครบทั้ง 5 หมู่และผักผลไม้สด ๆ ย่อมได้คุณค่าทางอาหารมากกว่าอยู่แล้ว แถมราคายังถูกกว่าอีกด้วย จริงไหมคะ4. ย้อมผมอย่างไรให้ปลอดภัยยาย้อมผมเป็นเครื่องสำอางที่มีสารเคมีบางชนิดซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายได้หากใช้ผิดวิธี เพื่อความปลอดภัยควรทดสอบอาการแพ้โดยทาบนท้องแขนก่อนใช้ 24 ชั่วโมง หากไม่มีอาการคัน บวม แดงจึงย้อมได้ ห้ามใช้ถ้ามีผื่นผิวหนังอักเสบ แผลเปิดหรือรอยถลอกบนหนังศรีษะ ไม่ควรเกาหรือนวดศรีษะก่อนและระหว่างย้อม อย่านำไปย้อมขนที่อื่น เช่น ขนตา ขนคิ้ว ระวังไม่ให้น้ำยาย้อมกระเด็นเข้าตาเด็ดขาด หากมีอาการคัน ปวดแสบปวดร้อน มีผื่นแดงให้หยุดใช้ทันทีแล้วล้างออกด้วยน้ำปริมาณมากๆก่อนไปพบแพทย์5. ทำอย่างไรดีเมื่อเล็บเปราะบางเล็บเปราะ เกิดจากการขาดความชุ่มชื้น ซึ่งมักพบในคนที่ล้างมือบ่อย ๆ หรือขาดแร่ธาตุบางชนิด เช่น ไบโอติน แคลเซียม การใช้ครีมบำรุงผิวเข้มข้นหลังล้างมืออาจทำให้ดีขึ้นบ้าง ควรตัดเล็บให้สั้นเพื่อป้องกันเล็บฉีกเมื่อต้องหยิบจับของแข็ง หมั่นรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อการบำรุงเล็บ เช่น ตับ เนื้อสัตว์ ข้าวกล้อง และถั่ว ถ้ายังไม่ดีขึ้นลองรับประทานไบโอตินขนาด 2.5 มิลลิกรัมกต่อวัน จะช่วยให้เล็บแข็งแรงขึ้นได้6. สนไหม..สมุนไพรพอกหน้าให้ด่างดำการใช้สมุนไพรพอกหน้า จากสถานเสริมความงามหรือทำด้วยตัวเองต้องระวังมากเป็นพิเศษ เพราะหากโชคไม่ดีแทนที่จะได้หน้าขาวใสกลับได้รอยด่างดำแทน เพราะพืชสมุนไพรบางชนิด เช่น มะนาว มะกรูด มีสารที่ทำให้เกิดผื่นผิวหนังอักเสบและรอยดำหลังจากสัมผัสสารนั้นแล้วไปตากแดด ดังนั้น ถ้าไม่จำเป็นควรหลีกเลี่ยงดีกว่าค่ะ7. ที่มีของปัญหาผิวแตกลายผิวแตกลาย เป็นปัญหาที่พบบ่อยในวัยรุ่นที่โตเร็ว นักกีฬาเล่นกล้าม หญิงตั้งครรภ์และโรคที่มีความผิดปกติของฮอร์โมน การที่ร่างกายมีขนาดโตขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ผิวหนังขยายตัวยืดตามไม่ทันจึงเกิดเป็นรอยแผลย่นขึ้น ระยะแรกผิวแตกลายมีสีแดงและจะกลายเป็นสีขาวออกวาวๆในระยะหลัง การทายาในกลุ่มกรดวิตามินเออาจทำให้ดีขึ้นได้บ้าง ส่วนการรักษาเลเซอร์ต้องทำต่อเนื่องหลายครั้งและมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง8. มอยส์เจอไรเซอร์จำเป็นมากขาดไม่ได้มอยส์เจอไรเซอร์ เป็นผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวพรรณซึ่งมีหลากหลายชนิดให้เลือกใช้ โลชั่นเหมาะสำหรับคนที่มีผิวผสมหรือผิวแห้งในบางพื้นที่ ครีมเหมาะกับคนผิวแห้งซึ่งควรเลือกชนิดที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสิวอุดตันภายหลัง ส่วนผิวแพ้ง่ายให้เลือกชนิดที่ไม่มีสี ไม่มีน้ำหอม และระบุว่าเป็น Hypoallergenic ใครที่หน้ามันอยู่แล้วไม่จำเป็นต้องใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์เลยก็ได้ เพราะผิวมีความชุ่มชื้นอยู่แล้ว9. เหงื่อออกมากผิดปกติที่รักแร้ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกติ เป็นภาวะที่ระบบประสาทซึ่งควบคุมการหลั่งของเหงื่อทำงานมากกว่าปกติ ตำแหน่งที่พบบ่อยคือ รักแร้ ฝ่ามือและฝ่าเท้า คนประสบปัญหานี้จะมีซอกรักแร้เปียกชื้นตลอดเวลาและอาจทำให้มีกลิ่นตัวได้ บางคนไม่กล้าใส่เสื้อผ้าสีอ่อนๆเพราะกลัวจะเห็นเป็นรอยเปียกเหงื่อ การรักษามีหลายวิธี เช่น การทายา Aluminium chloride 20% การรับประทานยาที่มีผลระงับเหงื่อ การฉีดโบท๊อกซ์ และการผ่าตัดต่อมเหงื่อ10. ยาสีฟันใช้ทาแผลน้ำร้อนลวกได้จริงหรือยาสีฟัน เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการทำความสะอาดฟันซึ่งมีส่วนประกอบของสารขัดสี สารควบคุมความเป็นกรด-ด่าง สารที่ทำให้เกิดฟองและสารกันบูด ยังมีคนอีกมากที่ปฐมพยาบาลแผลน้ำร้อนลวกเบื้องต้นด้วยการทายาสีฟัน ความจริงแล้วไม่มีส่วนผสมใดๆในยาสีฟันที่สามารถช่วยรักษาหรือสมานแผลได้เลย แต่อาจทำให้เกิดแผลลุกลามจากการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำซ้อนยากต่อการรักษาและทิ้งรอยแผลเป็นมากกว่าปกติได้11. ถ้าไม่อยากแก่เร็วอยู่ให้ไกลจากบุหรี่ทราบไหมคะว่า การสูบบุหรี่ นอกจากจะเป็นสาเหตุของโรคถุงลมโป่งพองและมะเร็งปอดแล้ว ยังมีผลกระทบต่อระบบผิวหนังอีกด้วย สารนิโคตินในบุหรี่จะทำให้เส้นเลือดเกิดการหดตัวจึงส่งผลให้การหมุนเวียนของเลือดไปเลี้ยงผิวหนังลดลง แถมยังมีสารอะซีตาลดีไฮด์ซึ่งถูกปล่อยออกมากับควันบุหรี่ไปรบกวนทำให้ผิวหนังอ่อนแอลง นาน ๆ เข้าสีผิวจะกลายเป็นสีเหลืองอมเทา เกิดรอยย่นและแก่ก่อนวัยได้12. ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้จากการต่อเล็บการต่อเล็บ ต้องใช้กาวเป็นตัวเชื่อมระหว่างเล็บจริงกับเล็บปลอม สารประกอบที่สำคัญของกาวเชื่อม คือ เอทธิลไซยาโนอะคริเลท มีคนจำนวนหนึ่งซึ่งมีปฎิกิริยาแพ้สารตัวนี้ทำให้ผิวหนังรอบเล็บเป็นผื่นแดง บวม คันมาก และยากต่อการรักษา ดังนั้น การต่อเล็บจึงเป็นทางเลือกของความสวยที่มีความเสี่ยงด้วยเช่นกัน13. ครีมกันแดดสำหรับวันที่มีแดดเท่านั้นเป็นที่ทราบกันดีว่ารังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดด สามารถทำให้ผิวหนังไหม้ เกิดริ้วรอย กระ ฝ้าและมะเร็งผิวหนังได้ มีคนจำนวนไม่น้อยคิดว่า ถ้าแดดไม่ออกหรือเวลาไปเที่ยวต่างประเทศที่มีเมฆครึ้มหิมะตก ก็ไม่ต้องทาครีมกันแดดซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะถึงแม้ว่าเมฆจะหนาทึบเพียงใด 80% ของรังสีอัลตร้าไวโอเลตยังคงลอดผ่านลงมาอยู่ดี หรือแม้แต่แสงจากไฟในห้องก็ตามค่ะ14. ขนคุด ที่มาและวิธีกำจัดขนคุด เกิดจากเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้วอุดตันอยู่ในรูขุมขน ทำให้ขนไม่สามารถงอกออกมาได้อย่างปกติ มีลักษณะเป็นตุ่มนูนเม็ดเล็ก ๆ คลำแล้วรู้สึกสาก ๆ บริเวณที่พบบ่อยคือต้นแขนและต้นขา ส่วนใหญ่มักไม่มีอาการ บางครั้งอาจมีการอักเสบร่วมด้วยทำให้เห็นเป็นตุ่มแดง พบว่ามีความสัมพันธ์กับโรคภูมิแพ้ การทายาประเภทอนุพันธ์ของกรดวิตามิน AHA หรือ BHA จะทำให้ดีขึ้นได้ แต่ถ้าหยุดก็มีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ได้อีก15. นอนผิดท่าใบหน้ามีริ้วรอยเคยไหมคะว่า ที่คุณพบว่าใบหน้ามีรอยย่นหลังตื่นนอนขึ้นมาตอนเช้า หรือว่าร่องแก้มด้านหนึ่งมีรอยลึกมากกว่าอีกด้าน ริ้วรอยที่เกิดขึ้นนี้ มีผลมาจากการนอนในท่าที่มีการกดทับติดต่อกันเป็นเวลานานหลายชั่วโมงที่เรียกว่า "สลีฟ ลายน์" คนที่ชอบนอนคว่ำหรือนอนตะแคงอาจเกิดรอยแบบนี้ได้มาก หากคุณเป็นคนหนึ่งซึ่งประสบปัญหานี้ให้ลองฝึกนอนหงายดูนะคะ เพราะการนอนหลับในท่านอนหงายจะดีที่สุดสำหรับผิวหน้าของคุณค่ะ16. จุดซ่อนเร้นสะอาดเกินจำเป็น...อันตรายจุดซ่อนเร้นหรือช่องคลอดของผู้หญิง จะมีสภาวะเป็นกรดอ่อน ๆ จากเชื้อจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ซึ่งมีผลดีต่อการยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อรา การใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเฉพาะที่เป็นประจำ อาจทำให้สมดุลของความเป็นกรดด่างนี้เสียไป ส่งผลให้เชื้อราเติบโตขึ้นมาแทน บางรายอาจเกิดการแพ้และระคายเคืองจากน้ำหอมที่ผสมอยู่ โดยทั่วไปการทำความสะอาดช่องคลอดด้วยน้ำเปล่าและสบู่ธรรมดาก็เพียงพอแล้ว17. เรื่องของส้นเท้าแตก แห้งและเจ็บส้นเท้าแตก เป็นอาการของผิวหนังที่แห้งและขาดความชุ่มชื้นอย่างมากทำให้ผิวหนังส่วนนอกหนาและแตกเป็นร่องคล้ายกับผิวดินที่แตกระแหง บางคนพยายามจะดึงหนังที่แข็งๆออก แต่กลับทำให้หนังฉีกลึกลงไปถึงเนื้อด้านในซึ่งจะเจ็บมากเวลาเดิน การรักษาต้องใช้มอยส์เจอไรเซอร์ชนิดเข้มข้น ร่วมกับยาทาที่มีส่วนผสมของยูเรียและกรดซาลิไซลิกทาเป็นประจำทุกวันจึงจะดีขึ้น


ข้อมูลจากWoman Plus

7 ลุค"คุณผู้หญิง" ที่"ผู้ชาย"กลัว

ผู้หญิงเรามักคิดว่า ลิปส์สีเข้ม กรีดอายไลเนอร์ และทรงผมกระเซิงนิด ๆ จะดูเซ็กซี่ แต่ตามจริงแล้วในมุมมองคุณผู้ชายเค้ามองว่า มันกลายเป็น ลุคสยอง มากกว่า !!! และนี่คือ 7 ลุค ที่เรา นำมาบอกต่อกับคุณ ทรงผม ฟู่ฟ่า ช่วงเวลาเซ็กซี่สุด ๆ ของผู้หญิง คือเมื่อยามที่ผู้ชาย ใช้นิ้วไล้ สยายผมคุณลงมา ลองนึกถึงโฆษณาแชมพูสระผมดูสิคะ อย่างนั้นล่ะค่ะ ไม่ต่างกัน เพราะฉะนั้น ทั้งการทำไฮไลท์สีผม การฉีดสเปรย์ หรือแม้แต่การยืดผม ก็ Just Say No !!! ไปได้เลยค่ะ คุณผู้ชาย บอกว่า ชอบคุณผู้หญิงที่ปล่อยให้ผมสวยตามธรรมชาติมากกว่าการที่คุณผู้หญิงจะมาเติมแต่งอะไรมากมาย ตีโป่ง ประดับประดาซะ...เยอะค่ะโบกหน้าหนาเตอะผู้หญิงเราอาจมองหาลุคสวยที่เพอร์เฟ็คท์ที่สุด พยายามปกปิดริ้วรอย จุดด่างดำ ให้หน้าดูเนียนเด้ง แต่ยิ่งพยายามให้เนียน หน้าก็จะยิ่งหนา ทั้งรองพื้น ทั้งแป้ง ทั้งโปะ ทั้งตบ จนคุณผู้ชายทั้งหลายเค้าบอกว่า อยากจะล้างมันออกให้หมดเพราะอยากรู้จริง ๆ ว่า ภายใต้หน้ากากหนาเตอะนั้นน่ะ มีอะไรซ่อนอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผู้ชายอยากจะบอกกับเราก็คือ " ลืมไปเลยว่าต้องปกปิดอะไร แต่ให้ผิวหน้าคุณหายใจบ้างเถอะ "กรงเล็บ นางมาร !!!คุณผู้ชายจะขนลุกด้วยความสยองเวลาที่เล็บยาวๆ ของคุณ เกาะจิกแขนล่ำๆ ของเค้า ยามคุณควงแขนอ้อนเค้า แค่ตัดเล็มให้สั้นกำลังดี เวลาคุณจะกอด หรือจะควงแขนเค้า จะได้ไม่ดูเป็นนางมาร ในความรู้สึกของเค้าค่ะเขียนคิ้วเส้นบางเฉียบ อย่างกะ ผ้าอนามัย Super Slim อันนี้อย่าว่าแต่คุณผู้ชายจะรู้สึก เป็นผู้หญิงด้วยกันยังรู้สึกเลยค่ะ ว่ามันน่ากลัว !!! เอาเป็นว่า เขียนไล้ตามแนวโค้งของคิ้วให้พอดี ๆ ดีกว่า ไม่งั้นคงน่าสยองน่าดูบล็อคตาเป็นคลีโอพัตรา คุณไม่ใช่ อลิซาเบธ เทเลอร์ และคุณก็ไม่ใช่คลีโอพัตรา จะมาบล็อคตาทั้งเบ้า เพื่อเดินช็อปปิ้ง ก็กระไรอยู่ แค่แต่งตานิดหน่อยเพื่อให้มีสีสันก็พอ...ผิวไหม้เกิน สีแทน (แทนที่จะสวย !!!) ผู้ชาย หรือ ผู้หญิงคนไทยคนไหนก็ไม่ชอบทั้งนั้นล่ะค่ะ กลัวดำกันทั้งนั้น !!! แต่ก็ใช่ว่าแค่ผู้ชายไทยที่กลัว พ่อหนุ่มตาน้ำข้าวที่ชอบมาอาบแดดนักหนาในไทยยังบอกเลยว่า ไม่ชอบหญิงผิวสีแทน ... แทนที่จะสวย เพราะอาบแดดซะจนไหม้เกิน เอาให้พอส้ม ๆ หน่อย เค้ายังรับได้มากกว่า เพราะว่าดูเป็นธรรมชาติค่ะปากวาวยังกับไปทานข้าวมันไก่ ผู้ชายรับได้นะคะ สำหรับลิปกลอสส์ แต่ถ้าทาทั่วปาก จนวาวเกินเหมือนไปทานข้าวมันไก่มา เค้าก็รับไม่ได้ค่ะ เค้าอยากให้เราใช้ Stain lips หรือ ลิปสติกเนื้อด้านเวลาจะไปเดทกับเค้า เค้าว่า มองแล้วสบายตากว่าเยอะ เพราะจูบไม่ลงจริง ๆ


ข้อมูลจากWoman Plus

เคล็ดลับความงาม "สีผม" แบบไม่น่าเชื่อ

คุณอ่านแล้วอาจจะทำหน้างง ๆ เป็นไปไม่ได้ แต่เชื่อเราเถอะว่า เทคนิคเหล่านี้ มันใช้ได้ผลจริง ๆ กับผมของคุณเติมเท็กซ์เจอร์ด้วยน้ำอัดลมเวลาที่เส้นผมดูลีบแบน ก็เทสไปร์ทลงในกระบอกฉีด แล้วฉีดลงบนเส้นผมที่เปียกหมาด ๆ ส่วนผสมที่เป็นน้ำตาลจะช่วยเติมเท็กซ์เจอร์เซ็กซี่ ๆ ให้เส้นผมดูมีน้ำหนักขึ้นเติมสีผมด้วยกาแฟถ้าคุณอยากให้สีผมโทนสีน้ำตาลดูเข้มและสดใสขึ้น ก็ต้มเมล็ดกาแฟแบบเข้ม ๆ แล้วปล่อยทิ้งไว้ให้เย็น จากนั้น นำมาราดลงบนเส้นผมปล่อยทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างน้ำออกลดความเข้มด้วยน้ำยาล้างจานถ้าสีผมที่คุณเพิ่งทำมาดูมีสีเข้มจนเกินไป ก็เติมน้ำยาล้างจานลงในขวดแชมพูซักสองสามหยด เขย่าให้เข้ากัน แล้วนำมาสระผมตามปกติ

ข้อมูลจาก Lisa

แต่งหน้าสไตล์ไป"ทะเล"

ลุคนี้เหมาะที่สุดสำหรับการไปเที่ยวทะเล เพราะให้ความรู้สึกสบาย ๆ แต่ก็ไม่ทิ้งความเซ็กซี่ด้วยประกายของชิมเมอร์ Base Trick : เริ่มต้นจากการลงเบสเมคอัพ เพื่อเพิ่มความเปล่งประกายบนใบหน้า จากนั้นใช้แป้งผสมรองพื้นอย่างบางเบาซับลงที่หน้าให้เนียนเรียบ เขียนคิ้วให้เส้นเรียวบาง จากนั้นใช้อายแชโดว์สีน้ำตาลอมส้มผสมชิมเมอร์ทาลงไปที่เปลือกตา แล้วไลท์ลงมาที่ขอบตาล่างด้วย ในส่วนของแก้มให้ใช้สีชมพูอมส้มปัด จากนั้นดัดขนตาแล้วก็ปัดมาสคาร่าFun Clik : ในส่วนของริมฝีปากให้ใช้กลอสสีเบสอมส้มทา เพื่อเพิ่มความเงางามดุจแพรไหม โดดเด่นสะดุดตากว่าใครในชายหาด


ข้อมูลจากWoman Plus

3 เคล็ดลับ"ไดเอ็ท"พื้นฐาน

1.กินคาร์โบไฮเดรตชนิดดีแผนไดเอ็ต อย่างเช่น Sugar Busters แนะนำให้เปลี่ยนจากคาร์โบไฮเดรตที่มีดัชนีไกลซีมิก (Glycemic Ingex หรือ GI) สูง อย่างเช่น มันฝรั่ง หรือขนมปังขาวมาเป็นแบบที่มีดัชนีไกลซีมิกต่ำ เช่น ข้าวโอ๊ต ขนมปังโฮลวีต คำกล่าวที่ว่า อาหารที่มีดัชนีไกลซีมิกสูง ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และนำไปสู่การสะสมไขมัน อาจยังเป็นที่โต้แย้งอยู่ แต่อาหารที่มีกระบวนการปรุงแต่งน้อยกว่า ทำให้มันเป็นตัวเลือกที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากกว่า2.เพิ่มปริมาณโปรตีนไดเอ็ตที่เน้นการกินโปรตีนมาก ๆ อย่างเช่น Atkins บอกว่า การตัดลดคาร์โบไฮเดรต บังคับให้ร่างกายต้องเผาผลาญไขมันที่สะสมเอาไว้ แต่ปัญหาก็คือ การกินแบบโปรตีนสูงมักอนุญาตให้กินเบคอน เนย และอะไรต่ออะไรที่มีไขมันไม่อิ่มตัวสูง ซึ่งไม่ดีต่อสุขภาพ แต่ถ้าคุณพยายามลดน้ำหนัก การกินโปรตีนอาจช่วยได้ เพราะมันใช้เวลาในการย่อยนานกว่า ทำให้ไม่รู้สึกหิวโหย แค่เลือกแบบที่ไขมันต่ำ และอย่ากินมากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนแคลอรีที่ควรได้รับในแต่ละวัน3.เติมซุปให้เต็มอิ่มแน่นอน คุณสามารถลดน้ำหนักได้เล็กน้อยอย่างรวดเร็ว ด้วยการกินแต่ซุปกะหล่ำปลีวันละหลาย ๆ มื้อ เป็นอาทิตย์ ๆ ตามวิธีการของ Cabbage Soup Diet แต่คุณจะได้รับแคลอรีน้อยเกินไป ซึ่งอาจทำให้ระดับการเผาผลาญพลังงานของคุณต่ำลง และซุปก็ไม่มีคุณค่าอาหารเพียงพอด้วย แต่การรับประทานซุปผักก็ยังถือเป็นไอเดียที่ดี เนื่องจากมีการศึกษาที่บ่งชี้ว่า การกินซุปก่อนมื้ออาหาร จะทำให้การบริโภคแคลอรีในระหว่างมื้ออาหารลดลง กว่าคนที่ไม่กินซุปก่อนอาหารได้


ข้อมูลจากLisa

เทคนิคนวดหน้าลด "ริ้วรอย"

เริ่มจากบริเวณหน้าผาก ให้ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางเริ่มจากกึ่งกลางหน้าผากนวดวนขึ้นเป็นแนวขดลวด (ขึ้นหนักลงเบา) นวดจนถึงบริเวณขมับ 6 จังหวะ ทำซ้ำ 3 ครั้ง โดยครั้งสุดท้ายให้กดจุดที่ขมับเพื่อความผ่อนคลาย บริเวณรอบดวงตา และยกกระชับริมฝีปาก ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางนวดเบาๆ บริเวณใต้ตา โดยเริ่มจากแนวโครงกระดูกเบ้าตาล่าง วนไปมาเบาๆ นับ 1 ครั้ง ทำซ้ำ 3 ครั้ง จากนั้นเริ่มนวดจากบริเวณใต้โพรงจมูก ลูบออกด้านข้างในลักษณะยกผิวขึ้น ลูบไปมา 3 ครั้ง และเลื่อนนิ้วลงมาบริเวณใต้ท้องริมฝีปากล่าง ลูบออกตามแนวริมฝีปากในลักษณะยกขึ้น ทำซ้ำ 3 ครั้ง ยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณมุมปาก ใช้ปลายนิ้วทั้งสองข้างนวดจากบริเวณกึ่งกลางคางขึ้นไปที่บริเวณมุมปากใน ลักษณะยกขึ้น ทำซ้ำ 3 ครั้ง ยกกระชับกล้ามเนื้อบริเวณแก้ม ใช้ปลายนิ้วทั้งสองข้างนวดจากบริเวณมุมปากในลักษณะยกผิวขึ้นเป็นมุมกว้าง ค้างไว้สักครู่แล้วค่อยลูบลง ทำซ้ำ 3 ครั้ง ผ่อนคลายความตึงเครียดบริเวณดวงตา ใช้นิ้วกลางและนิ้วนางกดบริเวณหัวตาทั้ง 2 ข้าง กดเบาๆ นับ 1-3 แล้วลูบผ่านเปลือกตา และวนรอบดวงตา กลับมากดที่หัวตา ทำซ้ำ 3 ครั้ง โดยครั้งสุดท้ายลูบผ่านเปลือกตาไปกดจุดที่บริเวณขมับ เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้ริ้วรอยบนใบหน้าลดลงได้ แถมยังทำให้ผ่อนคลายได้อีกด้วย


ข้อมูลจาก เดลินิวส์

เทคนิคล้าง "มาสคาร่า"

สาว ๆ นิยมใช้มาสคาร่าชนิดกันน้ำกันเป็นพิเศษในช่วงหน้าร้อน เพื่อให้ขนตาสวยได้ในทุกสถานการณ์ แต่เวลาล้างทำความสะอาดมาสคาร่าชนิดนี้อาจจะยากกว่าปกติ ขอแนะให้เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ล้างทำความสะอาดดวงตาโดยเฉพาะ เพราะอ่อนโยนกว่าโฟมล้างหน้าหรือครีมล้างหน้าปกติ เวลาล้างใช้แผ่นสำลีชุบอายรีมูฟเวอร์จากนั้นค่อย ๆ ลูบจากเปลือกตาด้านบนลงมายังปลายขนตาอย่างเบามือ ค่อย ๆ ลูบจนรู้สึกว่ามาสคาร่าหลุดออกจนหมด หากมีส่วนที่ยังตกค้างอาจใช้คัตตอนบัดจุ่มอายรีมูฟเวอร์แล้วแตะออกเบา ๆ ที่สำคัญอย่าใช้ความรุนแรงเด็ดขาด หากไม่อยากให้ผิวรอบดวงตาเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร


ข้อมูลจาก คู่หูเดินทาง

เทคนิคแต่งหน้าสไตล์ "สาวหวาน"

ลุคนี้ เหมาะสำหรับสาวหวานที่อยากแสดงออกถึงความเป็นผู้หญิงเป็นที่สุด ยิ่งถ้าสวมเดรสด้วยละก็ จะยิ่งดูอ่อนหวานน่าทะนุถนอมเป็นที่สุดBase Trick : เริ่มต้นด้วยการทาเบสเมคอัพเนื้อครีมโทนสีธรรมชาติ เพื่อลบริ้วรอยและรูขุมขนที่กว้าง จากนั้นใช้แป้งผสมรองพื้นเกลี่ยให้หน้าเนียนเรียบ ใช้อายแชโดว์สีชมพูอ่อนทาเปลือกตา โดยเกลี่ยให้ฟุ้งเหนือชั้นพับของตาออกไป อาจเพิ่มอายแชโดว์สีฟ้าตรงขอบตาล่างเพื่อความชิกด้วยก็ได้ จากนั้นใช้อายแชโดว์สีดำ เกลี่ยตรงเบ้าตาให้ดูมีมิติ อย่าลืมดัดขนตาและปัดมาสคาร่าด้วย ส่วนแก้มให้ใช้สีชมพูอ่อนทาให้บางที่สุด เพื่อให้ดูเป็นธรรมชาติแบบสาวสุขภาพดีFun Click : ริมฝีปากให้ใช้ลิปสติกเนื้อแมตต์สีกลีบบัวทาให้ทั่ว อาจใช้กลอสสีชมพูทาเพิ่มด้วยก็ได้ เพียงแค่นี้คุณก็เป็นสาวหวานที่น่าทะนุถนอมแล้วล่ะค่ะ


ข้อมูลจากWoman Plus

วิธีจัด"ตารางอาหาร" เพื่อช่วย"ควบคุมน้ำหนัก"

ในแต่ละวัน หากเราสามารถจัดสรรเวลาการทานอาหารต่าง ๆ ให้เป็นเวลาได้ ก็จะช่วยควบคุมน้ำหนักได้ง่ายขึ้นค่ะ ซึ่งช่วงไหน ต้องทานอะไรบ้าง เรามีตารางเวลาการทานที่ถูกต้องมาแนะนำ ลองนำไปใช้ดูเทียบกับการกินประจำวันของคุณนะคะ..05.00 – 07.00 น. ช่วงเช้า ๆ แบบนี้ควรดื่มน้ำอุ่น 2 แก้ว เพื่อช่วยในการขับถ่าย07.00 – 09.00 น. เป็นเวลาเหมาะที่จะทานอาหารเช้า เพราะกระเพาะอาหารจะทำงานในเวลานี้ ถ้าสามารถทำได้ทุกวัน กระเพาะของคุณก็จะแข็งแรง แถมทำให้ไม่แก่เร็วอีกด้วย09.00 – 11.00 น. ช่วงนี้ถ้าไม่ทานอาหารหรือขนมจะดีมาก เพราะอาหารและน้ำจะแปรสภาพเป็นไขมัน13.00 – 15.00 น. ควรงดอาหารทุกชนิด เพราะลำไส้เล็กจะทำงานหนัก15.00 – 17.00 น. เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสำหรับการออกกำลังกาย พยายามทำตัวให้เหงื่อออก กระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง23.00 – 01.00 น. เป็นช่วงเวลาของถุงน้ำดี ควรงดอาหารทุกชนิด และให้ดื่มน้ำก่อนเข้านอน คราวนี้สาว ๆ ทั้งหลายก็ไม่ต้องเป็นกังวลว่าวัน ๆ ทานอะไรเข้าไปก็ห่วงอ้วนแล้วนะคะ เพราะการจัดตารางอาหารประจำวัน จะช่วยให้คุณมีระเบียบในการรับประทานขึ้นเยอะเลยล่ะค่ะ..ลองทำดีกว่า


ข้อมูลจาก Woman's Story

เทคนิค "ขา"เรียวยาว

คงไม่มีสาว ๆ คนไหน ปฏิเสธความปรารถนามีขาเรียวสวยดั่งนางแบบ แม้ว่าโชคชะตาจะไม่เข้าข้างและเนรมิตมาให้คุณได้ดั่งใจฝัน ทำไมไม่ลองแต่งตัวพรางขาให้ดูเรียวขึ้นแทนล่ะเดรสเชิ้ตผ้าคอตตอน แต่งตัวในสไตล์ลำลองด้วยเดรสเชิ้ตผ้าบางแล้วใส่คลุมทับกางเกงยีนส์หรือเลกกิ้ง เลือกชิ้นใดชิ้นหนึ่งให้มีลวดลายหรือสีสันสดใส แล้วใส่คู่กับรองเท้าทรงบัลเลต์ในเวลากลางวัน ส่วนกลางคืนนั้นเน้นเป็นส้นสูงสีทองปักประดับคริสตัลเลกกิ้งหรือสกินนี่ยีนส์ ความกระชับและดูแนบเนื้อของกางเกงทำให้ช่วงขาดูเพรียวขึ้น ควรเลือกเป็นสีเข้มเช่น สีดำหรือกรมท่า แล้วใส่กับเสื้อยืดสบาย ๆ สักตัว อย่าลืมเพิ่มความสูงขึ้นอีกนิดด้วยรองเท้าส้นสูงหรือบู๊ตคัตครึ่งข้อกางเกงขาห้าส่วน ถ้าการใส่กางเกงขายาวทำให้คุณรู้สึกไม่มั่นใจ ลองใส่ขาห้าส่วนเพื่อโชว์ให้เห็นส่วนขาเล็กน้อย และใส่ท่อนบนเป็นเสื้อเชิ้ตสีขาวเรียบ ๆ สักตัว ที่สำคัญอย่าใส่เครื่องประดับท่อนบนจนดูเยอะเกินไปกางเกงขาสั้น ยิ่งสั้นเท่าไรยิ่งดี อย่ามัวกังวลกับสะโพกที่ใหญ่จนน่าตกใจ ยิ่งเป็นสาวสะโพกใหญ่ให้ใส่กางเกงขาสั้นมาก ๆ เพื่อเบนจุดโฟกัสไปที่ส่วนขาแทน


ข้อมูลจาก Lisa

6 สูตร "มาส์กหน้า"สุดเด็ด

การมมาส์กหน้า เป็นขั้นตอนหนึ่งของการทำทรีตเมนต์บำรุงผิว ให้ผิวได้พักผ่อน และดูดซึมคุณค่าจากสารบำรุงที่เราพอกลงบนผิว ควรทำเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ผิวหน้าเนียนนุ่มมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะสารบำรุงจากธรรมชาติ มีของอร่อยหลาย ๆ อย่างที่จะไม่ทำให้เกิดอาการแพ้แก่ผิวหน้าเรา ว้าว...ชักจะเริ่มมองเห็นประโยชน์ของการมาส์กหน้ากันแล้วสิ คุณสาว ๆ คงต้องลองทำอย่างน้อยสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อให้ผิวหน้าได้ดูดซึมสารอาหารอย่างต่อเนื่อง จะได้มีผิวหน้านุ่ม ๆ เอาไว้อวดความสวยใส ชนิดที่ใคร ๆ ต้องเหลียวมองสูตรน้ำผึ้งล้างหน้าให้สะอาด เช็ดให้แห้ง แล้วใช้ปลายนิ้วแตะน้ำผึ้งลูบไล้บนใบหน้าและลำคอเบา ๆ สักครู่ แล้วนวดหน้าด้วยปลายนิ้วอย่างแผ่วเบาประมาณ 5 นาที จนน้ำผึ้งเหนียวนวดต่อไปไม่ได้แล้ว ก็ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที ระหว่างนั้นให้นอนพักศีรษะอยู่ต่ำกว่าระดับปลายเท้า เพื่อให้เลือดไหลมาหล่อเลี้ยงที่ใบหน้าและลำคอได้สะดวกยิ่งขึ้น เมื่อครบเวลาแล้วค่อย ๆ ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดน้ำผึ้งออกให้สะอาดสูตรแอปเปิ้ลปอกแอปเปิ้ลคว้านเอาไส้และเมล็ดออก บดให้ละเอียด ขณะที่บดให้ผสมน้ำผึ้งลงไปด้วย เมื่อบดจนเข้ากันดีแล้ว นำมาพอกหน้าทิ้งไว้ 20 นาที แล้วใช้นมสดเย็น ๆ ล้าง ตามด้วยน้ำสะอาดอีกทีสูตรแตงโม ฝานแตงโมเป็นชิ้นบาง ๆ จากส่วนที่แดงที่สุด นำมาแปะให้ทั่วใบหน้าแล้วใช้ผ้าคลุมหน้าไว้ ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นสูตรไข่ขาวต่อยไข่ไก่ 1 ฟอง แยกไข่แดงออกเทเฉพาะไข่ขาวลงในถ้วย ใช้ส้อมตีไข่ขาวจนเป็นฟองพอสมควร แล้วใช้แปรงขนนุ่มจุ่มไข่ขาวทาให้ทั่วใบหน้าและลำคอทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที หรือพอไข่ขาวเริ่มจับตัวแข็งแล้วล้างออกด้วยน้ำเย็นสูตรมะเขือเทศ ฝานมะเขือเทศชิ้นหนา ๆ ถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอเบา ๆ ตรงบริเวณที่มีสิวเสี้ยน มะเขือเทศมีวิตามินซีและกรด AHA จะช่วยลอกผิวหน้าที่ตายแล้วให้หลุดออกได้ หลังจากนั้นจึงค่อยใช้สำลีชุบน้ำเย็นเช็ดมะเขือเทศออกให้สะอาดสูตรโยเกิร์ตสำหรับทุกสภาพผิว โยเกิร์ตรสธรรมชาติ 1/2 ถ้วย น้ำมันดอกทานตะวัน 1 ช้อนโต๊ะ น้ำมะนาวคั้นสดๆ 1 ช้อนโต๊ะ นำส่วนผสมทั้งหมดมาผสมให้เข้ากันแล้วพอกทั้งหน้า ทิ้งไว้ 15-20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดจะช่วยทำความสะอาดผิวหน้าได้อย่างล้ำลึกและบำรุงผิวให้ชุ่มชื้นข้อควรระวัง! หากมีอาการคันหรือระคายเคืองระหว่างการมาสก์ให้หยุดขั้นตอนการทำแล้วรีบล้างหน้า ด้วยน้ำสะอาดทันที


ข้อมูลจาก Woman Plus

"ความเชื่อ"ผิดๆ เกี่ยวกับเรื่อง"อ้วน"

เรื่องเกี่ยวกับการลดน้ำหนักส่วนใหญ่ที่เราได้รับการบอกเล่าต่อ ๆ กันมา บางทีก็เป็นเรื่องเข้าใจผิดความเชื่อ : ยิ่งออกกำลังมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้นความจริง : การออกกำลังเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการรักษาน้ำหนักตัว และทำให้สุขภาพโดยรวมดีขึ้น แต่การออกกำลังสัปดาห์ละเจ็ดวัน อาจทำให้เกิดผลในทางตรงกันข้ามได้ มันอาจทำให้ภูมิคุ้มกันคุณอ่อนแอลง ทำให้ข้อต่อต่าง ๆ ล้า และทำให้เราอ่อนแรง ถ้าคุณออกกำลังด้วยท่าทางที่ไม่ถูกต้องเนื่องมาจากความอ่อนล้า คุณก็จะเผาผลาญแคลอรีได้น้อยกว่าการออกกำลังอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันความอ่อนล้าจากการออกกำลัง ควรจัดวันสำหรับพักผ่อนอย่างน้อยหนึ่งวันในแต่ละสัปดาห์ และเปลี่ยนแปลงการออกกำลังไปเล็กน้อยในแต่ละครั้ง เช่น บริหารแขนวันหนึ่ง แล้วก็บริหารขาอีกวันหนึ่ง เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้กล้ามเนื้อชุดเดียวกันมากเกินไปความเชื่อ : กล้ามเนื้อหนักกว่าไขมันความจริง : ถ้าคุณออกกำลังมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ตาชั่งบอกตัวเลขที่มากกว่าที่คุณอยากได้ คุณอาจอยากบอกตัวเองว่า "อืม มันก็น้ำหนักของกล้ามเนื้อ" เพราะกล้ามเนื้อหนักกว่าไขมันไม่ใช่หรือ? ก็ไม่ขนาดนั้นนะ กล้ามเนื้อหนึ่งปอนด์กับไขมันหนึ่งปอนด์ ก็คือหนึ่งปอนด์เท่ากัน แต่เพราะกล้ามเนื้อมีความหนาแน่นกว่าไขมัน การมีกล้ามเนื้อมากกว่าไขมันจึงทำให้คุณดูเพรียวกว่า และมันก็มีประโยชน์อื่นด้วย นั่นคือกล้ามเนื้อหนึ่งปอนด์เผาผลาญราว 50 แคลอรีต่อวัน ในขณะที่ไขมันหนึ่งปอนด์เผาผลาญแค่ 2 แคลอรีต่อวัน ฉะนั้น ยิ่งคุณมีไขมันน้อยเท่าไหร่ อัตราการเผาผลาญของคุณก็จะสูงเท่านั้นความเชื่อ : เมื่ออายุมากขึ้นก็เลี่ยงไม่ได้ที่น้ำหนักจะเพิ่มขึ้นความจริง : ไขมันส่วนใหญ่ไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่น้ำหนักมักเปลี่ยนไปจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การให้กำเนิดบุตร หรือกระดูกที่อ่อนแอลง ซึ่งคุณสามารถทำให้การเปลี่ยนแปลงช้าลงได้ ด้วยการยกน้ำหนักจากการศึกษาของสถาบันสุขภาพแห่งชาติ สหรัฐฯ ผู้หญิงที่น้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน ซึ่งยกน้ำหนักเพียงแค่สัปดาห์ละสองครั้ง มีการสะสมของไขมันที่หน้าท้องเพิ่มขึ้นเล็กน้อย (7 เปอร์เซ็นต์ในช่วงสองปี) เมื่อเทียบกับคนไม่ได้ออกกำลัง (ซึ่งไขมันที่สะสมในหน้าท้องเพิ่มขึ้นถึง 21 เปอร์เซ็นต์ในช่วงสองปี) ยิ่งคุณยกน้ำหนักเร็วขึ้นเท่าไหร่ ก็จะยิ่งง่ายที่จะทำให้รอบเอวไม่เพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปความเชื่อ : คุณต้องลดน้ำหนักอย่างมาก เพื่อที่จะได้ประโยชน์ทางสุขภาพความจริง : ถ้าคุณมีตัวเลขที่ต้องลดถึงสองหลัก อาจฟังดูน่ากลัว แต่การลดเพียงแค่ไม่กี่กิโลฯ ก็สามารถมีผลอย่างมากต่อสุขภาพของคุณแล้ว โดยน้ำหนักส่วนเกินทุกหนึ่งกิโลที่คุณลดลงได้ คอเลสเตอรอลของคุณจะลดลงโดยเฉลี่ย 3 จุด ผู้ชายและผู้หญิงสามารถลดความดันโลหิตลงได้ หลังจากลดน้ำหนักเพียงแค่ 4-5 กก. ร่างกายของเราสามารถบอกได้เมื่อเราลดน้ำหนัก แม้มันจะเล็กน้อย แต่ร่างกายก็จะปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว


ข้อมูลจากLisa

5 "สี" สร้าง "สวย"

สีแดง มีสารที่ชื่อว่า ไซโคปิน (Cycopene) และเบต้าไซซิน (Betacycin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งได้หลายชนิด พบมากในมะเขือเทศ แตงโม เชอร์รี่ บีทรูท แคนเบอร์รี่ ทับทิม WP Tip : นำมะเขือเทศมาวางบนใบหน้า ช่วยลดการเกิดของสิว และทำให้รอยแผลเป็นจางลงได้สีส้ม มีสาร เบต้าแคโรทีน (Betacarotene) พบมากในผัก ผลไม้สีส้ม อย่าง มะละกอ แครอท ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล หรือไขมันที่อยู่ในเลือดได้ และถ้าสาวคนไหนกินติดต่อกันเป็นเวลา 2 ปี จะทำให้ฝ้าหายได้โดยไม่ต้องพึ่งครีมลบฝ้า แต่ต้องระวังอย่ากินมากเกินไป เพราะจะทำให้ผิวกลายเป็นสีเหลืองได้WP Tip : กินแครอทเป็นประจำช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งผิวหนังสีเหลือง มีสารที่ชื่อว่า สารลูทีน (Lutein) มีมากในข้าวโพด ช่วยป้องกันการเสื่อมของจุดสี หรือแสงสีที่อยู่ในส่วนของเรตินาดวงตา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้สูงอายุมองไม่เห็น WP Tip : ข้าวโพดหวานที่ปรุงสุกแล้ว ช่วยล้างพิษในร่างกายได้เป็นอย่างดีสีเขียว ไม่ต้องบอกก็ทราบกันดีว่า ในผัก และผลไม้สีเขียว จะมีสารที่ชื่อว่า คลอโรฟิลล์ (Chlorophyll)พบมากในผักสีเขียวเข้ม อย่าง คะน้า บร็อกโคลี ตำลึง แถมยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางอาหารจำนวนมากอีกด้วย ช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งได้เป็นอย่างดีWP Tip : ผักใบเขียวช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้ดูสดใส เปล่งปลั่ง และยับยั้งการเกิดริ้วรอยสีม่วง พบมากในพืชสีม่วง อาทิ มะเขือม่วง บลูเบอร์รี่ แบล็กเบอร์รี่ อัญชัน มีสารที่เรียกว่าสาร แอนโทไซยานิน(Antho -cyanin) มีคุณสมบัติทำลายสารที่ก่อให้เกิดมะเร็ง และช่วยขยายหลอดเลือด ลดความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจ และอัมพาตได้ดีWP Tip : สารแอนตี้ออกซิแดนซ์ในบลูเบอร์รี่นอกจากป้องกันการเกิดมะเร็งแล้ว ยังช่วยชะลอความแก่ให้สาว ๆ ได้อีกด้วย


ข้อมูลจากWoman Plus

เทคนิคทำความสะอาด "รอบดวงตา"ให้ปราศจากรอย"เหี่ยวย่น"

การล้างเครื่องสำอาง หรือการเช็ดทำความสะอาดผิวหน้า หากทำอย่างรุนแรงก็จะเป็นที่มาของรอยเหี่ยวย่นต่าง ๆ ได้ และยิ่งทำเป็นประจำทุกวันก็จะยิ่งเร่งให้เกิดขึ้นก่อนวัย ซึ่งการเช็ดหน้าอย่างอ่อนโยน รวมถึงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมอาจช่วยแก้ไขได้ และเพื่อช่วยให้การเช็ดของคุณง่ายขึ้นก็มีทริคดี ๆ มาแนะนำกันค่ะใช้สำลีที่ผลิตจากเส้นใยธรรมชาติ ชุบรีมูฟเวอร์ หรือน้ำยาเช็ดเครื่องสำอางแบบออยด์ แล้วนำสาลีแปะที่บริเวณรอบเปลือกตาที่ปิดสนิทประมาณ 20 - 30 วินาที เพื่อให้รีมูฟเวอร์ช่วยละลายเครื่องสำอางให้หลุดออกมาต่อมาให้ค่อย ๆ ปาดสำลีที่ประกบดวงตาไว้มาทางซ้ายอย่างเบามือ ห้ามขยี้เด็ดขาด ถ้าใครที่ยังรู้สึกไม่สะอาดพอก็แนะนำให้ทำความสะอาดรอบดวงตาอีกครั้งจากนั้นก็ล้างหน้าตามปกติ เป็นการขจัดคราบเครื่องสำอางที่หลงเหลืออีกครั้งค่ะ เพียงเท่านี้ใบหน้าของคุณก็จะสะอาดไร้รอยเหี่ยวย่นแล้วล่ะค่ะ


ข้อมูลจาก Woman's Story

"ผัก-ผลไม้" ที่ช่วยแก้หิว

จากผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร British Journal of Psychiatry เมื่อเร็วๆ นี้พบว่า ผู้ที่กินของหวาน อาหารประเภททอด เนื้อสัตว์ผ่านการปรุง ธัญพืชขัดขาว และผลิตภัณฑ์ที่อุดมไปด้วยไขมัน จะมีอาการซึมเศร้ามากกว่าผู้ที่จำกัดการกินอาหารประเภทดังกล่าว ซึ่งการศึกษานี้ได้มีการทดลองกับผู้หญิงและผู้ชายจำนวน 3,500คน เพราะฉะนั้น ทางเลือกที่ฉลาดสำหรับผู้ที่ต้องการมีสุขภาพดีก็คือ เลือกกินผักหรือผลไม้ในยามที่หิวแทนอาหารประเภทที่อุดมไปด้วยไขมันต่างๆ ข้างต้น ดร.Tasnime N. Akbaraly ผู้นำทางด้านการศึกษาในเรื่องนี้กล่าวว่า สารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่ในผักและผลไม้ รวมทั้งกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่อยู่ในปลา มีส่วนช่วยลดอัตราการเสี่ยงของการเป็นโรคซึมเศร้า เช่นเดียวกับโฟเลต วิตามินบีที่พบได้ในผักสีเขียวเข้ม อาทิ ผักโขม ถั่ว และผลไม้จำพวกส้ม หรือมะนาว เหล่านี้ล้วนส่งผลต่อสารสื่อประสาทที่มีผลกระทบต่ออารมณ์ของคนทั้งสิ้นแป้ง กินได้ไม่อ้วนจากการศึกษาล่าสุดใน Archives of Internal Medicine พบว่า คนที่ไดเอตด้วยวิธีการกินอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตให้ต่ำมากๆ (Low-Carb Diet) คือได้รับคาร์โบไฮเดรตต่อวันเพียง 20-40 กรัม หรือเทียบได้กับกินข้าวแค่ครึ่งถ้วยกับขนมปังอีกเพียงหนึ่งแผ่น จะก่อให้เกิดอาการซึมเศร้า หวาดวิตก และก้าวร้าวมากกว่าคนที่ไดเอตแบบประเภทที่กินอาหารไขมันต่ำ (Low-Fat) แต่เน้นคาร์โบไฮเดรตสูง (High-Carb) อันได้แก่ ผลิตภัณฑ์ที่มีไขมันต่ำ ธัญพืชไม่ขัดขาว ผลไม้ และถั่ว นักวิจัยกล่าวว่า คาร์โบไฮเดรตอาจมีส่วนช่วยสร้างสารเซโรโธนิน (Serotonin) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่มีโครงสร้างทางเคมี ที่ประมาณ 80-90% ของปริมาณเซโรโธนินจะพบใน Enterochromaffin Cells ที่อยู่ในร่างกายของมนุษย์ ทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหาร และอีก 10-20% จะถูกสังเคราะห์ในระบบประสาทส่วนกลางจากเซลล์ประสาท ทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาท มีบทบาทหลายหน้าที่ เช่น ช่วยในการควบคุมความหิว อารมณ์ และความโกรธ ทั้งนี้ สารเซโรโธนินยังพบในเห็ดและพืชผักผลไม้ต่างๆ อีกด้วย ดังนั้น ถ้าคนเราได้รับคาร์โบไฮเดรตในปริมาณที่ไม่พอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวันแล้ว ย่อมจะส่งผลกระทบกับอารมณ์ในเชิงลบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อารมณ์ดี เพราะช็อกโกแลตการกินช็อกโกแลตวันละประมาณ 39.62 กรัม หรือ 1.4 ออนซ์ (1 ออนซ์ เท่ากับ 28.3 กรัม) ทุกวันเป็นเวลาสองอาทิตย์ จะช่วยลดฮอร์โมนคอร์ติโซน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้เกิดความเครียดลงได้ ทั้งนี้ ถ้าคนเราอยู่ในภาวะเครียด จะมีแนวโน้มสูงที่จะอ้วนขึ้น นั่นเป็นเพราะฮอร์โมนคอร์ติโซนจะไปทำให้อัตราเมตาบอลิซึ่มในร่างกายทำงานช้าลง จากการศึกษาของศูนย์วิจัยเนสท์เล่ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์ล่าสุดพบว่า ‘สารโพลีฟีนอล (Polyphenols) หรือแอนตี้ออกซิแดนซ์ (Antioxidants) ที่พบในช็อกโกแลต หรือแม้แต่ผักผลไม้จะมีส่วนที่ก่อให้เกิดความเครียดลดลง’ อย่างไรก็ตาม สาวๆ ก็ควรกินช็อกโกแลตในปริมาณที่พอดีในแต่ละวัน เนื่องจากช็อกโกแลตจะให้ปริมาณแคลอรีสูง ซึ่งสามารถทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้ ถ้าร่างกายได้รับมากเกินไปในแต่ละวัน


ข้อมูลจากsanook.com