ยิ่งใครที่ต้องใช้สายตาเพ่งมองสิ่งใดสิ่งหนึ่งติดต่อกันครั้งละนานๆ มักจะมีอาการมึนศีรษะ ปวดศีรษะ ปวดคอ ปวดบ่า ปวดสะบัก ปวดหลัง อาการเหล่านี้จะรบกวนวิถีชีวิตประจำวันอยู่เรื่อยๆ แม้จะหยุดใช้สายตาเพ่งมองไปทางอื่นแล้วก็ตาม ถ้าอาการดังกล่าวสามารถหายไปได้เองภายใน 2-3 วัน เมื่อได้พักผ่อน ทายา หรือรับประทานยา ก็โชคดีไป แต่ถ้าไม่ ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจปล่อยเอาไว้
แพทย์อายุรเวท วิภาพร สายศรี แพทย์ประจำคลินิกรักษาไมเกรนและโรคปวด ดอกเตอร์แคร์คลินิก ได้ให้คำแนะนำไว้ว่า อาการปวดศีรษะเป็นโรคยอดนิยมของคนทั่วไปในยุคนี้ เมื่อใครปวดศีรษะขึ้นมาก็จะคิดถึงยาสามัญประจำบ้านอย่างยาแก้ปวดเป็นอันดับ แรก แต่ถ้ากินยาแล้วยังไม่หาย ตรวจร่างกายแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติอย่างนี้ถือว่าเข้าข่ายเป็นโรค ‘ไมเกรน' ค่ะ
โรคไมเกรนเป็นโรคที่สร้างความทรมานให้กับผู้ป่วย พบได้มากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั่วโลก และยังไม่มีวิธีการรักษาใดๆ ช่วยให้หายขาดได้ เป็นแต่เพียงแค่การรักษาเพื่อบรรเทาอาการปวดศีรษะให้ทุเลาลงเท่านั้น อาการของไมเกรนก็คือ ปวดศีรษะข้างเดียว ซึ่งเกิดจากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อบริเวณบ่า คอ ท้ายทอย และเกิดก้อนเนื้ออักเสบที่เรียกว่า Trigger Point บริเวณดังกล่าว มีผลทำให้เลือดและออกซิเจนไหลเวียนไปเลี้ยงบริเวณศีรษะได้ไม่สะดวก เมื่อได้รับปัจจัยกระตุ้น ที่ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งตัวมากขึ้น เช่น ความเครียด แสง สี เสียง กลิ่น หรือการ พักผ่อนไม่เพียงพอ จึงเกิดอาการปวดศีรษะข้างเดียวหรือไม่ก็ปวดสลับข้าง
• แนวทางการรักษา
การรักษาแบบ DMT นั้น แพทย์อายุรเวทจะสอบถามถึงอาการปวด ตำแหน่งที่ปวด และปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการปวด โดยนำข้อมูลที่ได้จากผู้ป่วยไปเข้าโปรแกรมการสร้างความสมดุลของร่างกาย ร่วมกับเทคนิคการกดจุด เพื่อกระตุ้นการทำงานของทุกระบบในร่างกาย ร่วมกับการยืดกล้ามเนื้อ และการบริหารร่างกาย
• ขั้นตอนการรักษาแบบ DMT
- ตรวจสภาพกล้ามเนื้อ และตรวจหาตำแหน่ง Trigger Point ที่มีการกดทับ
- กดคลายกล้ามเนื้อที่แข็งเกร็งเหนือจุด Trigger Point
- กดสลาย Trigger Point เพื่อให้ Trigger Point คลายตัวออกเป็นกล้ามเนื้อปกติ
และกระตุ้นให้เลือดและออกซิเจนไปเลี้ยงศีรษะได้ดีขึ้น
- ยืดกล้ามเนื้อ เพื่อให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่น คลายตัว และเคลื่อนไหวได้ดี
กระบวนการดังกล่าวจะช่วยฟื้นฟูระบบต่างๆ ของร่างกาย ให้เข้าสู่สภาวะปกติได้ใหม่อีกครั้ง การรักษาใช้เวลาเพียงสัปดาห์ละ 1 ครั้ง โดยประมาณ 4-6 ครั้ง ผู้ที่เข้ารับการรักษากว่า 80% จะไม่มีอาการปวดรบกวนอีก อย่างไรก็ตาม หลังจากครบโปรแกรมการรักษาแล้ว ก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงการใช้กล้ามเนื้อต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานด้วย
อย่างไรก็ตาม การป้องกันตัวเองไม่ให้เจ็บป่วยจากโรคเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ซึ่งโรคไมเกรนนี้สามารถป้องกันได้ไม่ยาก ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัว เช่น อย่าใช้คอมพิวเตอร์ติดต่อกันเกินกว่า 2 ชั่วโมง ยุติกิจกรรมที่ใช้กล้ามเนื้อบริเวณบ่าและคอทันทีที่รู้สึกเกร็ง บริหารกล้ามเนื้อบริเวณบ่าและคอ ด้วยการยืดกล้ามเนื้อหลังการใช้คอมพิวเตอร์ทุกครั้ง หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เมื่อมีอาการปวดศีรษะ พักผ่อนและทำสมาธิเมื่อมีความเครียดเพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ประคบน้ำอุ่นบริเวณบ่าและต้นคอเพื่อทำให้กล้ามเนื้อคลายจากการเกร็งตัว หลีกเลี่ยงแสงจ้า หรือสวมแว่นตากันแดด เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น